วันหนึ่ง.. เรื่องเรากับพ่อ

 1.
เย็นวันหนึ่งในฤดูหนาว ที่แสงอาทิตย์ลาลับขอบฟ้าไปก่อนเวลา ไฟกิ่งตามท้องถนนในระดับหมู่บ้านจัดสรรเริ่มทำงาน เราจำได้ว่ามีกลิ่นไอดินหอมหวลชวนให้คิดว่าฝนเพิ่งตกไปก่อนหน้านี้หรือป่าว? .. ไม่อาจทราบได้.. เราแค่จดจำได้เพียงเค้าลางของรายละเอียดปลีกย่อย เราเดินอยู่ที่ถนนหมู่บ้าน ไม่มีรถวิ่ง แต่มีรถจอดสงบนิ่ง เต็มสองข้างทาง เป็นภาพปกติของหมู่บ้านที่มีผู้คนมากมายอาศัยอยู่ แสงจากไฟกิ่งสีขาว ส่งให้ความมืดในช่วงโพล้เพล้หายไปเป็นช่วงๆ . .. เรากำลังสนใจสิ่งที่อยู่ในมือ..

2.
เราเดินออกจากบ้านมาด้วยความหงุดหงิด น้อยเนื้อต่ำใจ หรือเป็นคำใดๆ ก็ตามที่อยู่ในช่วงความหมายของความทุกข์ เราจำไม่ได้ว่าวันนั้นเกิดอะไรขึ้น แต่ถ้าให้เดาไม่น่าจะพ้นเรื่องของความผิดหวังที่พ่อมีกับเรา และความรู้สึกไม่เข้าใจที่เรามีกับพ่อ เราไม่รู้เหมือนกันว่าความขัดแย้งที่อยู่ในบ้าน ระหว่างพ่อและเราเกิดขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่เรารู้อย่างหนึ่งว่า เราไม่เคยดีในสายตาพ่อ นี่เป็นสิ่งที่เราคิดในตอนนั้น ตัวเราในวัย 16 ปี .

3.
เรากำลังเดินกลับบ้านหลังจากที่ไปซื้อของที่ตั้งใจเอาไว้จากร้านค้าเล็กๆ เจ้าประจำในหมู่บ้าน เราเดินช้าๆ ทอดน่องไปเรื่อยๆ ความเร็วเนิบช้าสอดคล้องพอดีกับความคิดแย่ๆ ที่วนเวียนเข้ามาเพื่อใช้เรียกคนอย่างที่เราเป็น ไอ้คนเรียนแย่ ไอ้เด็กเฮงซวย ไอ้ที่โหลประจำรุ่น ไอ้คนไม่มีอนาคต และนี่ก็อาจจะเป็นที่มาที่ทำให้พ่อผิดหวัง และเราก็มีความรู้สึกไม่เข้าใจว่า ในความที่เราก็เรียกได้ว่าเป็นเด็กดี แค่ไม่ฉลาดเรื่องการเรียน มันจะต้องผิดหวังกันขนาดนี้เลยเหรอ .

4.
วันนี้เป็นยังไงเป็นกัน มือเราเย็นเฉียบจากสิ่งที่เราซื้อมาจากร้าน ความเย็นชาไม่สามารถทำให้ความร้อนในอกบรรเทา หรือทุเลาเบาลงได้ เรายกมันขึ้นมาระดับสายตา สิ่งนี้แหละที่น่าจะทำให้ความเครียดที่มีตอนนี้ดีขึ้นได้ เพราะที่ผ่านมาเราก็เห็นตัวอย่างมากมายทั้งในจอทีวี หรือภาพประจำวันที่พ่อก็ยกซดอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน แทบจะเป็นพิธีกรรมประจำวันของพ่อไปแล้ว .

5.
เราเอานิ้วงัดดึงเพื่อเปิดเบียร์กระป๋องเย็นเยือกในมือ น่าจะถึงเวลาแล้วที่เราต้องหัดดื่มมัน คนที่เรียนไม่ดี ก็ไม่ควรได้มีเรื่องดีไปบอกใคร ว่าไม่ดื่มไม่สูบ เพราะมันดูยังไม่โหลยโท่ยเท่าที่ควรจะเป็น ชีวิตมันแย่แล้วก็ควรจะแย่ไปให้สุดๆ .

6.
เรายกกระป๋องเบียร์ขึ้นซด แววตาดุดันอย่างที่เด็กเกเรคนนึงพึงจะมี อึกแรกผ่านไป … และต้องหยุดอยู่แค่นั้น ..ขมชิบหาย.. เราอุทานเสียงดังในใจ กินกันไปได้ยังไง แววตาที่ดุดันของเด็กเกเร กร้านโลกหายไปแล้ว ความขมอาจจะเป็นยาอย่างที่มีคนเคยบอกไว้ก็ได้ เราพยายามที่จะกลืนอึกต่อไป แต่ก็ต้องยอมแพ้ นอกจากจะเป็นเด็กเรียนดีไม่ได้แล้ว การจะเป็นเด็กเกเรไปให้รู้แล้วรู้รอดก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เหมือนกัน .

7.
เอาเถอะ ไหนๆ เราก็ซื้อเบียร์มาแล้ว ไม่ได้ถูกๆ ด้วย มันมีราคาของมัน ถ้าเรากลับเข้าบ้านไปสถาพปกติ มันก็ไม่มีความแตกต่าง คงเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้ เอาแบบนี้แล้วกัน ความมุ่งมั่นในการดื่มเบียร์หมดลง แต่ความตั้งใจที่อยากจะประชดพ่อยังแข็งขัน เรายกกระป๋องเบียร์ขึ้นอีกครั้ง ครั้งนี้ยังพอทน ไม่ได้ดื่มลงคอ แค่เอามากลั้วบ้วนปาก แล้วพ่นทิ้ง อย่างน้อยๆ น่าจะมีกลิ่นฉุนของเบียร์โชยออกมาให้ใครได้กลิ่น ได้ทักกันบ้าง เท่านั้นยังไม่พอ เราเอาเบียร์รินใส่มือ ตามตบลงบนเสื้อผ้า หน้าผม ราวกับว่าเป็นน้ำหอมชั้นดี อย่างเดียวในตอนนั้นที่เรายังคิดไม่ออกคือ จะทำยังไงให้เราหน้าแดง ให้เหมือนเส้นเลือดถูกอัดฉีดด้วยฤทธิ์แอลกอฮอร์ เลือดลมวิ่งพล่านผิวหน้าแดงฉาน แววตาล่องลอย . แต่เอาเถอะ ถ้าแค่รู้ว่าเราไปกินเบียร์มาก็น่าจะได้บ้านแตกแล้วมั้ง … .

8.
ตอนนี้เราพร้อมกลับเข้าบ้านแล้ว…. .


เรื่องที่ได้อ่านไปเป็นความทรงจำของผมเอง ในวันที่มันเกิดขึ้นนั้นผมยังจำได้ดี เป็นวันแย่ๆ ในวัย 16 ที่คิดว่าไม่มีใครเข้าใจ แต่ในวันนี้ ที่ความเข้าใจในสิ่งต่างๆ มีมากกว่าความขัดแย้ง เรื่องนี้มันก็กลายเป็นเรื่องตลก ที่ผมมักจะรู้สึกฮาๆ เวลาได้นึกถึงมัน หรือหยิบยกเอามาพูดคุยบนโต๊ะอาหารในครอบครัว สร้างความขบขันได้อยู่เสมอๆ .

ความขัดแย้งที่เงียบเชียบระหว่างผมกับพ่อ ไม่ได้แย่มากนะครับ ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าพ่อผู้มีความคาดหวัง กับลูกชายที่ดื้อแพ่ง พ่อก็มีการแสดงออกว่าเค้ารักเราในแบบที่เค้าเป็น เราก็ได้รับแรงบันดาลใจมาจากหนังจากละครว่าการแสดงความรักที่ใช่มันต้องเป็นยังไง กว่าที่จะจูนกันได้ก็เมื่อตอนที่ผมเป็นหนุ่มนักศึกษาปีหนึ่งนั่นหละครับ และการเข้าเรียนมหาลัยก็ไม่ใช่คณะเรียนที่พ่อคาดหวังเอาไว้ด้วยนะ เพราะพ่ออยากให้ผมเรียนวิศวะ แต่ผมเอาคืนแกด้วยการไปเลือกสอบคณะสังคมซึ่งเป็นที่ที่แกเรียนจบมาเป็นบัณทิต แสบไหมหละครับ พ่อลูกเรียนเหมือนกันเลย … .

ในวันที่ผมมีลูกเป็นของตัวเอง เด็กน้อยดีเกินพอสำหรับพ่ออย่างผมในทุกๆ ด้าน เธอเป็นความรัก เป็นชีวิต เป็นอนาคต เพียงแต่เวลาคิดถึงอนาคตของเค้า ที่ผมก็คงไม่ได้อยู่เฝ้าดูไปได้ตลอด ก็ทำให้อดห่วงไม่ได้ว่าเค้าจะดีพอสำหรับโลกใบนี้หรือปล่าว เรื่องนี้น่าจะเป็นเรื่องเดียวกันกับที่พ่อผมห่วงผมในวัยเด็ก พ่อคงอยากให้ผมดีพอสำหรับการอยู่ในโลกใบนี้ในวันที่พ่อไม่อยู่แล้ว แต่ตอนนั้นผมเลือกที่จะเป็นเด็กดื้อซะอย่างนั้น.. .

วันนี้ถ้าพ่อยังอยู่ จะเป็นวันเกิดอายุครบ 70 ปี แต่อายุของพ่อถูกหยุดไว้ที่ 67 ด้วยโรคมะเร็งในปี 2018 ที่ผ่านมา ทุกคนที่ยังอยู่ตอนนี้คิดถึงพ่อที่สุด ผมรู้สึกโชคดีมากที่ได้ยินคำว่า “พ่อรักทอม” แทบจะทุกวันในช่วงที่เฝ้าดูแลพ่อในโรงพยาบาล ถึงที่ผ่านมาผมจะไม่เคยได้ยินมาก่อน แต่ผมก็พอรับรู้ได้เสมอๆ ว่าพ่อก็รักเราทุกคน .

แต่ผมชอบที่จะได้ฟังเวลาที่พ่อพูดนะ .. .

สุขสันต์วันเกิดครับคุณพ่อ

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *