วันนี้เราจะไปเที่ยว ภูเขาลอยน้ำ Mountain Float กัน และทริปนี้เราก็กะว่าจะเป็นการกระตุ้นการถ่ายคลิปเที่ยว กับช่อง tommy talk ให้มีเนื้อหาเรื่องใหม่ๆ เพิ่มด้วย และมันก็เป็นอะไรที่เราชอบด้วย และแน่นอนว่าครั้งนี้เราจะพยายามถ่ายคลิปให้ได้อย่างธรรมะ หรือธรรมชาตินั่นแหละ ทางสายกลางไม่เครียดเหมือนทุกครั้งที่พอหน้างานไม่เป็นไปตามที่คิดเอาไว้ก็จะส่งผลให้ไม่อยากทำต่อ หรือท้อแท้กลับมา
ให้แค่รู้ว่าต้องถ่ายวีดีโอเรื่องราวการเดินทางไปเที่ยวครั้งนี้เอาไว้ คิดอะไรได้ก็ใส่เข้าไป คิดอะไรไม่ออกก็คุยรายละเอียดที่เที่ยว หรือเล่าสิ่งที่เจอ สิ่งที่เห็น เอาง่ายๆ แค่นี้ให้รอดก่อน ไม่ต้องไปคิดมากเกินกว่านี้
หลังจากที่พาฮันนี่ เจ้าหมาน้อยประจำบ้านไปฝากไว้ที่ dog club (ที่พักน้องหมา) พวกเราสี่คนก็พากันไปร้าน ไม้เฮือน60 สถานที่แรกที่เราจะไปฝากท้องกันในวันนี้ อ่อทริปนี้มีอินดี้คู่ซี้จอมขวัญไปด้วย เพื่อเป็นการการันตีว่าลูกสาวจะมีความสนุกสนานอย่างที่วัยรุ่นควรจะเป็น การที่ต้องไปกับพ่อแม่คนเดียวอาจจะเป็นอะไรที่วัยรุ่นไม่นิยมเท่าไหร่นัก..
ไม้เฮือน60
ไม้เฮือน60 เป็นร้านอาหารพื้นเมืองและมีร้านกาแฟดอยช้างเปิดอยู่ในบริเวณเดียวกัน ออกแบบมาเป็นแนวคาเฟ่ยอดนิยม คือช่วงนี้ผู้คนจะชอบคาเฟ่ที่ออกแนวธรรมชาติ ที่เต็มไปด้วยต้นไหม้สีเขียว น้ำตก หมอกและละอองน้ำ เรียกว่าสวยงามอย่างที่ในโลก social กล่าวกันเอาไว้เลย ต้องยกความดีความชอบให้กับแหม่มแฟนเรา ที่เป็นคนค้นหาร้านต่างๆ และฟันธงเลือกร้านนี้เป็นที่แรก และถ้าร้านแรกที่เราไปมีความประทับใจ ก็เหมือนเป็นนิมิตรหมายอันดีสำหรับทริปเที่ยวครั้งนี้ว่าจะต้องดีตลอดรอดฝั่งแน่นอน
เราอยู่ที่ร้านไม้เฮือน60 กันพักใหญ่ๆ เพราะดูเวลาแล้วไม่น่าจะไปที่อื่นได้อีก เวลามันหมิ่นเหม่เกินไปที่จะไปเที่ยวอีกสักที่ก่อนที่จะไปขึ้นเรือ การเอกเขนกนั่งชิล ดื่มกาแฟ กินขนมต่อ ในบรรยากาศร่มรื่นแบบนี้ ก็เป็นการที่ใช้เวลาได้ดี มีคุณภาพอยู่เหมือนกัน
ถนนวิวสวยก่อนถึงเขื่อนแม่งัด
ออกจากร้านไม้เฮือน60 กันประมาณเกือบๆ เที่ยง ใช้เวลาเดินทางน่าจะราวๆ 40 นาทีก็ถึงเขื่อนแม่งัด เรามีนัดลงเรือเพื่อเดินทางไปยังแพ ภูเขาลอยน้ำในรอบเวลาบ่ายโมงครึ่ง
ขับรถสบายๆ สำหรับวันจันทร์ วันธรรมดาแบบนี้ รถดูจะไม่เยอะสักเท่าไหร่ อันนี้ไม่แน่ใจว่าปกติก็ไม่เยอะแบบนี้หรือป่าว เพราะเราก็ไม่ได้มาแถวนี้เลย นี่น่าจะในรอบเกิน 10 ปีได้เลยมั้งสำหรับการมาที่เขือนแม่งัดแห่งนี้
ก่อนจะถึงเขื่อนแม่งัด เราพากันจอดรถข้างทางด้วยวิวที่เห็นตรงหน้ามันช่างสวยงาม เหมาะแก่การถ่ายภาพ และสองสาววัยรุ่นก็ดูจะชอบทัศนียภาพแนวๆ นี้ด้วย เราถ่ายรูปให้แฟนด้วยกล้องดิจิตอล สองสาวก็ไปหามุมถ่ายภาพด้วยฟิล์มกันสองคน ดูผิดที่ผิดทางอยู่หน่อยๆ เด็กรุ่นใหม่นิยมถ่ายฟิล์มกันเยอะขึ้น รอล้างรูปได้ ส่วนคนแก่อย่างเราใจร้อน อยากเห็นรูปเลย ไม่อยากรอแล้ว ฮ่า
หลังจากพากันเข้ามาจอดรถในบริเวณที่จัดเอาไว้เรียบร้อย เราก็มีเวลากันประมาณครึ่งชั่วโมงได้ ระหว่างที่รอให้รถของทางแพมารับไปขึ้นเรือ อากาศในช่วงกลางเดือนมีนาคมร้อนมาก เรียกว่าใครมาเห็นสภาพเราตอนนี้อาจจะทักว่าไปออกกำลัง หรือไปวิ่งมาก็ไม่น่าแปลกอะไร มันชุ่มเหงื่อไปทั้งตัวแล้ว.. ทีแรกตัดสินใจว่าจะเปิดแอร์นั่งรอกันในรถเพื่อหลบความร้อนจากข้างนอก แต่พอดีเราเห็นว่ามีร้านอาหาร และคาเฟ่ ซึ่งเป็นศูนย์บริการนักท่องเที่ยวของทางอุทยานน่านั่งอยู่นะ เพราะวิวอ่างเก็บน้ำดีงามมาก ก็เลยชวนกันมานั่งรอกันที่นี่ และถ่ายรูป ถ่ายคลิปกันระหว่างรอ
เขื่อนแม่งัดสมบูรณ์ชล
เขื่อนแม่งัดสมบูรณ์ชล เป็นชื่อจริงอย่างเต็มยศของเขื่อนแม่งัด ตั้งอยู่ในอุทยานแห่งชาติศรีลานนา มีค่าธรรมเนียมบำรุงสถานที่ 20 บาทต่อคน และค่าจอดรถคันละ 30 บาท สถานที่จอดรถอย่างดีเลยนะ ลาดยางไม่มีฝุ่น มีหลังคาร่มรื่น และที่เขื่อนแห่งนี้ก็มีแพอยู่หลายเจ้าคอยให้บริการ ภูเขาลอยน้ำ หรือ Mountain Float เป็นหนึ่งในที่พักที่นี่ที่ค่อนข้างได้รับความนิยม เพราะมีความสวยงามในการออกแบบที่พัก และมีความเป็นส่วนตัวสูง โดยแต่ละเรือนแพสำหรับพักก็จะแยกกันอย่างชัดเจน มีทางเดินเชื่อมกันเอาไว้เหมือนที่เราจะนึกภาพออกถ้าพูดถึงที่พักในเกาะมัลดีฟ และเพราะแบบนี้หลายๆ คนก็เลยเรียก Mountain Float ว่า มัลดีฟเชียงใหม่นั่นเอง
มีเรื่องหงุดหงิดให้ได้รู้สึกอยู่เหมือนกัน กับความไม่ตรงเวลาของรถที่จะมารับเรา หลังจากที่ระบุเวลากันเอาไว้อย่างดีว่าบ่ายโมงครึ่ง ซึ่งเราก็พากันเดินออกจากร้านอาหารสวัสดิการของอุทยานอันแสนร่มรื่น มารอที่รถตามเวลา แต่ก็ต้องพากันย้ายเข้าไปตากแอร์ในรถกันเกือบๆ 40 นาที กว่าที่รถทางที่พักจะมารับเราเพื่อไปลงเรือ ความผิดแผน สิ่งที่ควบคุมไม่ได้ก็มีเข้ามาเสมอๆ แหละ ชีวิตก็เป็นแบบนี้ ถึงเราจะหงุดหงิดอยู่บ้างแต่ก็ไม่ไปยุ่งกับมัน รู้ว่าหงุดหงิดก็แค่นั้น นี่คือสิ่งที่เราได้เรียนรู้จากการที่ช่วงนี้ฝึกทำสมาธิเป็นประจำ ได้เห็นความคิดของตัวเองที่วิ่งไปมาอย่างชัดเจน
…
ใช้เวลาประมาณ 15 นาที เรือก็พาเรามาถึงที่แพ Grand Sunday ซึ่งเป็นหนึ่งใน 4 เรือนแพที่พักของภูเขาลอยน้ำแห่งนี้ บรรยากาศดีมาก เหมือนกับที่รู้สึกแบบเดียวกับตอนที่ได้เห็นภาพใน youtube และ instagram ที่พักอาจจะดูโทรมกว่าที่คิดเอาไว้อยู่บ้าง ด้วยก็เพราะที่นี่ก็เปิดให้บริการมานานสักช่วงเวลาหนึ่งแล้ว แต่ความฟินส์ในบรรยากาศเราว่ายังโอเคคุ้มกับราคาที่จ่ายไปอยู่นะ หลังจากที่สำรวจห้องหับต่างๆ ชมที่พัก เก็บกระเป๋า เราก็ถ่าย vlog พูดถึงที่พักสักหน่อย เพราะทริปนี้ก็เป็นทริปที่เราอยากทำคลิปเที่ยวลงช่องร้างของเราเหมือนกัน คิดอะไรได้ก็ถ่ายก็ทำไปเลย อย่างที่บอกว่าเราจะเป็น Youtuber สายกลาง ไม่ตึงจนเที่ยวไม่สนุก แต่ก็ไม่หย่อนจนไม่ได้คลิปเลยอะไรแบบนั้น
น้องพนักงานเอาอาหารว่างมาเสริฟพร้อมกับ welcome drink ซึ่งเป็นข้าวเกรียบกุ้งน้ำพริกเผา, ก๋วยเตี๋ยวคั่วไก่ และน้ำดอกอัญชันเย็นๆ ด้วยความที่ทัศนียภาพและบรรยากาศกลางน้ำที่อยู่ตรงหน้า ทำให้อาหารว่างที่มาถึงไม่ได้เรียกความสนใจจากใครได้เลย พวกเรากำลังดื่มด่ำกับสิ่งแปลกใหม่ตรงหน้าที่ชีวิตคนเมืองอย่างเราไม่คุ้นตา และความสวยงามที่เราไม่คุ้นเคย แต่หลังจากที่พวกเราเริ่มทำกิจกรรม พายเรือ เล่นน้ำ เดินถ่ายรูปกันไปได้สักพักใหญ่ๆ อาหารว่างในความรู้สึกของพวกเราสี่คนโดดเด่นขึ้นมาทันที เอ่อนะ ทุกอย่างมีเวลาของมันจริงๆ ทีแรกอยู่ตรงนั้นเงียบๆ ไม่ได้สำคัญอะไร พอถึงเวลาของมัน มันก็สำคัญขึ้นมาเลยทันที..
อากาศค่อนข้างร้อน แต่ก็มีลมเย็นพัดเข้ามาอยู่ตลอด เมฆหนาพากันมาบดบังแสงอาทิตย์เป็นช่วงๆ ช่วยแบ่งเบาความร้อนลงไปได้บ้าง เรานำเสนอสมาชิกว่าให้ออกเรือกันดีกว่า มีเรือที่ลักษณะเหมือนโต๊ะจีน เป็นเรือรูปวงกลมนั่งกันได้หลายคน มีโต๊ะอยู่ตรงกลาง พากันไปเม้ามอย พูดคุยกันกลางน้ำและอัดคลิปไปด้วยน่าจะเป็นกิจกรรมที่สนุกเลยทีเดียว
พากันออกเรืออย่างชิล กลับขึ้นฝั่งอย่างสบักสบอม!
หลังจากที่พากันออกเรือ แรงลมพาเรือล่องไปห่างจากที่พักพอสมควร พวกเรายังไม่ทันได้เริ่มนั่งชิลคุยอะไรกันสักเรื่อง แต่ตอนนี้ดูเหมือนจะมีเรื่องเข้ามาซะแล้ว เราเอาไม้พายมาด้วยคู่หนึ่ง เราเลยบอกกับอินดี้หลานสาวไปว่าลองช่วยกันพายดู ให้เรือเราเข้าไปใกล้กับที่พักหน่อย ไม่อยากให้มันไปไกลเกินกว่านี้ และเป็นเราเองที่ประเมินผิดไปมาก การพายเรือโต๊ะจีนด้วยไม้พายเป็นอะไรที่ยากมาก ไม่เหมือนกับที่ดูมากจาก youtube และยิ่งโคตรยากโดยเฉพาะกับคนที่ไม่เคยพายเรือมาก่อนอย่างพวกเราด้วย พายยังไงก็ดูเหมือนจะอยู่ที่เดิม เปลี่ยนมือกันจนหมดแรงก็แล้ว ครั้นพอจะหยุดหายใจเพื่อพักเอาแรงสักหน่อย ลมก็พาเราห่างจากที่พักออกมาเรื่อยๆ ซะอย่างนั้น บ้าที่สุด เราคิดในใจ
อยู่ๆ เราก็คิดอะไรออก เหมือนมีใครมากระซิบว่าให้เราโดดลงไปแล้วดึงเชือกพาเรือกลับเข้าฝั่งเลย อยู่ในน้ำเรือมันไม่หนักมากหรอก และที่ผ่านมาเราฟิตร่างกายจนแข็งแรง เรียกว่าพร้อมมากแล้วที่จะใช้พลังงานที่มีในการพาครอบครัวกลับเข้าฝั่ง เอ่อ มันฟังดูยิ่งใหญ่นะ ถึงจะไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายอะไร เพราะเราสามารถเป่านกหวีดที่ติดอยู่กับเสื้อชูชีพเพื่อขอความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่เอาก็ได้เหมือนกัน แต่ถึงแบบนั้นเราก็อดอยากลองกระโดดลงน้ำเพื่อลองออกแรงลากเรือดู
ตูม!! เสียงเรากระโดดลงน้ำ
มือคว้าเชือกผูกเรือโต๊ะจีน หงายตัวขึ้นหันหน้าไปทางเดียวกับเรือ สองมือดึงเชือก สองขาเหยียดเข้าออกเป็นคลื่นใต้น้ำในท่ากบ และดูเหมือนว่าจะได้ผล เรือที่เราลากดูจะลอยมาตามทางแรงที่เราใส่เข้าไป นี่เป็นไอเดียที่ใช้ได้เลยทีเดียว และตอนนี้เราก็กำลังอัดคลิปที่เราลากเรือเอาไว้ เสียดายที่ไม่ได้เอากล้อง gopro ลงเรือมาด้วย น่าจะได้ภาพที่ดู action กว่านี้ มีแต่กล้อง fullframe ที่อยู่บนขาตั้ง กลางโต๊ะจีนบนเรือทำการบันทึกเอาไว้
ระหว่างที่เราทำตัวเป็นฮีโร่ลากเรือพาครอบครัวเข้าฝั่งอยู่นั้น สมาชิกบนเรือพากันหัวเราะชอบใจ เรียกว่าเอาใจช่วยเราอย่างสนุกสนาน เป็นภาพที่น่ารัก และก็รู้สึกสนุกมีความสุขตามไปด้วย ถึงแม้ว่าการลากเรือจะเหนื่อยและใช้แรงเอาเรื่องขนาดไหนก็ตาม เราใช้เวลาลากเรือกลับเข้าแพที่พักอยู่ประมาณ 6-7 นาที หลักจากที่ก้าวขาขึ้นพ้นน้ำมาเจอกับแรงโน้มถ่วงของโลกก็ทำเอาเข่าอ่อน เข่าพับ ขาสั่นพับๆ ไปเหมือนกัน …
สองสาวปั่นเรือถีบ ลมแรงพัดไปไกล กลับกันไม่ได้!!
ช่วงประมาณสักสี่โมงเย็น จอมกับอินดี้พากันไปปั่นเรือ เรือถีบหรือเรือปั่นแบบสองที่นั่ง ตัวลำสีเหลืองหลังคาสีขาว เท่าที่ตัดสินจากที่ตาเห็นน่าจะผ่านการใช้งานมาหลายฝนหลายหนาวแล้ว แต่ก็ดูไม่น่าจะมีปัญหากับการใช้งานแต่อย่างใด เพราะก็เห็นมีคนปั่นเล่นกันอยู่ก่อนหน้านี้
สองสาววัยรุ่นขึ้นเรือไปด้วยความทะมัดทะแมง เรือถีบมีอยู่สองส่วนที่ใช้ควบคุมเรือ อันแรกที่ถีบ ให้เราใช้เท้าถีบปั่นไปเหมือนกับปั่นจักรยานนั่นแหละ ตรงนี้ไม่ยาก อีกส่วนก็คือคันโยก มีหลายแบบมาก สำหรับที่นี่เป็นแบบโยกไปข้างหน้า กลาง ข้างหลัง เราเดาว่าคงจะเป็นการเลือกหันซ้ายขวา ส่วนตรงกลางก็คือไปข้างหน้า (อันนี้เราเพิ่งมารู้ทีหลังเหมือนกัน) แต่ก็คิดว่ามันไม่น่าจะมีอะไรยาก ไม่น่าเกินกำลังสาวๆ ที่มีพลังงานเหลือล้นอย่างคนทั้งสอง
เราคิดผิดอีกแล้ว!..
ขณะที่คอยถ่ายคลิปและรูปให้กับสองสาวที่อยู่บนเรือ และเรือก็ล่องออกไปไกลจากแพที่เราอยู่เรื่อยๆ ตะโกนบอกว่าอย่าไปไกลมาก ก็เหมือนจะไม่ได้ผล นอกจากสองสาวจะหาทางคุมเรือให้เป็นอย่างที่ใจอยากให้เป็นไม่ได้แล้ว แรงลมในช่วงเวลาเย็นแบบนี้ก็แรงเอาเรื่อง อีกทั้งด้วยเรือมีหลังคา ก็ยิ่งทำให้เรือถูกแรงลมพัดออกไปได้ง่ายไปอีก เราที่อยู่บนแพที่พักเริ่มใจคอไม่ค่อยดี แต่ดูสองสาวบนเรือถีบไกลๆ ยังถ่ายรูปกันอย่างสนุกสนาน
เราตัดสินใจไปขอความช่วยเหลือจากน้องพนักงาน Mountain Float และก็ได้รับความช่วยเหลือเป็นอย่างดี เอาเรือสปีดโบ็ทแล่นออกไปลากเรือถีบของสองสาวอย่างรวดเร็ว และพามาขึ้นฝั่งที่แพได้อย่างปลอดภัย ขอบคุณทีมงานคุณภาพมา ณ ที่นี้ด้วยครับ
…
ระหว่างรอมื้อเย็นที่ทางแพ Mountain Float จัดเอาไว้ให้เราในเวลา 5 โมงครึ่ง สมาชิกที่เหลือก็นั่งเล่น นอนเล่น แต่งรูป โพสรูปกัน ส่วนตัวเราไม่อยากอยู่เฉยๆ เราอยากออกแรง ก็เลยไปเล่นมันทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นพายเรือคายัค เล่น paddle board และทำการอัดคลิปเอาไว้เป็นคอนเทนต์ลงในช่องไปด้วย เป็นช่วงเวลาที่สนุกกว่าที่คิดเอาไว้มาก ถือว่าเราเรียนรู้ได้ค่อนข้างเร็วกับการพายเรือคายัคและทรงตัวบน paddle board และยิ่งช่วงนี้เราเสพติดการออกกำลังมากๆ พอได้ทำอะไรที่เป็นกิจกรรมที่ใช้แรง และรายรอบไปด้วยวิวสวยๆ ของธรรมชาติแบบนี้ยิ่งทำให้ความสนุก ความฟินส์ ยกระดับขึ้นไปอีก
มื้อเย็นเริ่มทยอยมาส่งที่โต๊ะกินข้าวประจำแพที่เราพัก มื้อเย็นวันนี้มีกับข้าวอยู่ด้วยกันทั้งหมด 5 อย่าง ปลาทอด ต้มขาไก่ ผัดผักรวม ปลาดุกฟู ข้าวสวย ชุดนี้รวมอยู่ในค่าที่พักเรียบร้อยแล้ว นอกจากนั้นยังมี บาร์บีคิวที่เราสั่งทางร้านเพิ่มพิเศษ จะเรียกว่าเอามาเป็นพร๊อพถ่ายรูปก็ได้นะ คือการได้มาย่างบาร์บีคิวบนแพกลางอ่างเก็บน้ำเนี่ยเป็นอะไรที่ดูพิเศษ ดูมีอะไร นอกจากบาร์บีคิวแล้ว เค้ามีหมูกะทะบริการด้วยนะ แล้วแต่เราเลือกสั่งได้เลย ส่วนนี้จ่ายเพิ่มไม่ได้รวมอยู่ในค่าที่พัก
หลังจากผ่านมื้อเย็น พวกเราก็ถ่ายรูปกับแสงสุดท้ายของวันกันเล็กน้อย เป็นการย่อยอาหารไปในตัว และพอแสงแดดเริ่มหมด ท้องน้ำทั้งผืนก็ดูมืดดำไปสุดลูกหูลูกตา นอกจากเสียงลมในความมืดมิดแล้ว เรายังได้ยินเสียงเพลงที่ลอยมาจากแพเจ้าอื่นๆ ที่น่าจะเป็นการร้องคาราโอเกะ เปลี่ยนแนวเพลงกันมาแบบไม่มีหลงวัย แต่ละเพลงทำให้เราทำนายอายุคนที่ร้องได้ไม่ยาก เรียกว่าสูงวัยก็น่าจะได้ เพราะเราก็ร้องได้ทุกเพลงเหมือนกัน ฮ่าๆ
ช่วงหัวค่ำพวกเราพากันเข้าห้องพัก อาบน้ำ พักผ่อน ตามอัธยาศัย
ปาร์ตี้มาม่า ชุดนอน..
เวลาเกือบๆ สี่ทุ่ม เรายังไม่นอน เป็นช่วงที่กำลังอ่านนิยายเกาหลีของ ชองแฮยอน อย่างเข้มข้นร่วมๆ สองชั่วโมง เรารู้สึกว่าน่าจะหาอะไรกินสักหน่อย เรารู้สึกอยากกินรามยอน ไม่รู้ว่าความอยากกินมาจากนิยายเกาหลีที่อ่านอยู่หรือไม่ เราส่งเมสเสจไปหาสองสาวห้องข้างๆ ว่ากินมาม่ากันไหม พ่อจะไปซื้อที่เคาท์เตอร์ และได้รับการยืนยันจากสามาชิกทุกคนในเวลาไม่นานว่า ให้รีบไปซื้อมาเลย..
ปาร์ตี้มาม่าในชุดนอน.. เรียกมื้อดึกมื้อนี้ ว่าเป็นมื้อพิเศษได้เลยเหมือนกัน เรารู้สึกว่าการกินมาม่าร่วมกันยามดึกเวลาออกไปเที่ยวที่ไหนๆ มันเป็นช่วงเวลาคุณภาพ ไม่รู้คนอื่นรู้สึกยังไงนะ แต่เรารู้สึกดีกับเรื่องแบบนี้มากๆ และรู้สึกกระตือรือล้นอยากให้มานั่งกินด้วยกัน และพร้อมจะเป็นคนต้มน้ำร้อนและพร้อมเสริฟความอร่อยให้ทุกๆ คนด้วยยินดี … จบหนึ่งวันอย่างมีความสุข
…
เช้าวันใหม่มาถึง เราตื่นไม่ทันแสงแรกของวันอย่างที่คิดเอาไว้ คิดว่าอยากจะเห็นพระอาทิตย์ขึ้นและถ่าย Timelapse ด้วย gopro เอาไว้สักหน่อย แต่ก็ไม่เป็นไร อย่างน้อยก็ได้เวลานอนเพิ่มขึ้นจากการตื่นสาย ต้องบอกว่าเป็นคืนที่นอนยากเหลือเกิน นอกจากแปลกที่แล้ว ยังมีเสียงเอียดอ๊าดที่เกิดจากอะไรสักอย่าง ใต้เรือนแพที่พัก มันส่งเสียงดังมาเป็นช่วงๆ และส่วนใหญ่จะเป็นช่วงที่เรากำลังจะหลับสนิทด้วย ได้ยินทีไร อดให้สะดุ้งตื่นไม่ได้ เลยเป็นคืนที่มีการนอนแบบไม่มีคุณภาพสักเท่าไหร่ และสำหรับคนอายุ 45 ปีอย่างเรา การนอนไม่ดีส่งผลกระทบต่อพลังงานในวันถัดไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
อากาศช่วงหกโมงเช้า เย็น สดชื่น เราเดินเล่นคุยกับกล้อง vlog สัพเพเหระ เท่าที่จะคิดเรื่องที่อยากจะคุยออก หามุมดีๆ เอากล้องขึ้นบนขาตั้ง กด record ถ่ายตัวเองพูดโน่นนี่กับกล้องอย่างออกรส ใครคนอื่นมาแอบเห็นคงจะต้องคิดว่าเป็น youtuber แสนซัพ มืออาชีพอย่างแน่นอน ทั้งแท้ที่จริงแล้วมีแต่อุปกรณ์เท่านั้นแหละที่ดูมืออาชีพ และแสนจริงๆ ไม่ใช่แสนซัพ แต่เป็นแสนแพง.. แสงในช่วงเวลานี้กำลังสวย เราก็เลยสนุกอยู่กับการเก็บภาพและแสงในยามเช้าอย่างเพลิดเพลิน
…
เวลาประมาณเจ็ดโมงครึ่ง เราพากันมากินอาหารเช้าที่เรือนแพส่วนกลาง ที่ทำเอาไว้เป็นเหมือนห้องอาหาร เป็นออฟฟิสติดต่อ มีบาร์เครื่องดื่ม และมีจำหน่ายมาม่าไปจนถึงขนมกรุบกรอบ อาหารเช้าหลักๆ จะเป็นเมนูไข่ ไข่ดาว ไข่ข้น ออมเล็ต เสริฟพร้อมไส้กรอก แฮม เบคอน จัดพร๊อพด้วยผักสลัดมะเขือเทศเกาะกลุ่มรวมกันเหมือนสวนหย่อมเล็กๆ มุมหนึ่งของจานอย่างน่ารัก มีขนมปังแผ่น เครื่องปิ้ง เนย แยม เมนูข้าวก็มีให้เลือกเหมือนกัน ข้าวต้มและข้าวผัด นอกจากนั้นก็มีสลัด และซีเรียลใส่นม 2-3 แบบ
เราเลือกกินอาหารที่อุดมโปรตีนอย่างชุดไข่ดาว 2 ฟอง และขนมปังปิ้ง 2 แผ่น เพื่อเป็นการเติมพลังงานให้ไปช่วยพยุงอาการนอนน้อยในคืนที่ผ่านมา ตบท้ายด้วยกาแฟดำ 1 แก้ว ต้องบอกว่าไม่ได้เป็นมื้อเช้าที่อร่อยอย่างทั่วๆ ไปนะ เพราะนั่งกินด้วยวิวภูเขา และท้องน้ำของจริงที่อยู่ตรงหน้า ที่ไม่ได้จะหาดูกันได้ง่ายๆ เท่าไหร่ นี่เลยทำให้มื้อเช้าธรรมดา เป็นมื้อที่ทรงคุณค่าอีกมื้อเลย
…
อากาศหลังมื้ออาหารเช้ายังสดใสและสดชื่นอยู่มาก เรารู้สึกอยากพายเรือขึ้นมา เราว่าเราน่าจะชอบการพายเรือคายัค ก็เลยจัดการเอา gopro ติดกับไม้เซลฟี่แบบตั้งพื้นได้ลงเรือไปด้วย พายเรือไป อัดคลิปไป ดูเป็นความคิดที่น่าสนใจไม่น้อย เรือลอยอยู่บนฝืนน้ำ ที่สะท้อนภาพก้อนเมฆและภูเขาให้มองเห็นเหมือนยังกะเป็นภาพวาด ลึกล้ำ สวยงาม และมีเราอยู่บนเรือเป็นเหมือนจุดเล็กๆ บนแผ่นภาพนั้น เสียดายเราไม่มีโดรนบินถ่ายภาพแบบแนวสูงเก็บเอาไว้
ระหว่างพายเรือ และชื่นชมกับความสวยงามที่แวดล้อมเราเอาไว้นั้น เราก็คุยเรื่องต่างๆ กับกล้องไปด้วย สัพเพเหระมากๆ คิดอะไรออกก็คุยไปเรื่อยๆ ชอบ สนุกดี และเราคิดว่าคลิปความยาวครึ่งชั่วโมงคลิปนี้ เราจะอัพโหลดไว้ใน youtube ตั้งชื่อคลิปว่าอะไรดีนะ… tommytalk ตอน “พายไป บ่นไป” ชื่อนี้น่าจะเหมาะดีเหมือนกัน
เราทำการ check out ออกจากที่พักประมาณ 10 โมงกว่าๆ เรือสปีดโบ้ตของ Mountain Float พาเรากลับมาขึ้นฝั่ง ไม่นานนักเราก็มาถึงที่จอดรถ จัดการเก็บกระเป๋า สตาร์ทเครื่องยนต์ และพร้อมที่จะไปเที่ยวกันต่อ เพราะในละแวกเส้นทาง เชียงใหม่-แม่แตง ยังมีสถานที่ให้เราเลือกชมอีกเยอะมากๆ คือเยอะจนเราตกใจเหมือนกันนะ ไม่คิดว่าเชียงใหม่ที่เราอยู่มา 45 ปี จะมีที่เที่ยวเยอะอย่างนี้
วัดเด่นสลีศรีเมืองแกน (วัดบ้านเด่น)
20 นาที คือเวลาที่เราขับรถออกจากอุทยานแห่งชาติศรีล้านนา เขื่อนแม่งัดสมบูรณ์ชล มาถึงที่วัดเด่นสลีศรีเมืองแกน หรือที่คนท้องถิ่นเรียกกันว่า วัดบ้านเด่น นี่เป็นครั้งแรกที่เราเห็นว่ามีวัดที่เรียกได้ว่าอลังการงานสร้างอยู่ในจังหวัดเชียงใหม่ คือถ้าพูดถึงวัดสวย ยิ่งใหญ่ เป็นหน้าเป็นตาในภาคเหนือ ภาพวัดร่องขุนที่เชียงรายจะผุดมาเป็นสิ่งแรกในหัวเสมอเลย
วัดบ้านเด่น หรือ วัดเด่นสลีศรีเมืองแกน เป็นวัดที่ใหญ่โตมาก และมีพระธาตุ เจดีย์ค่อนข้างเยอะ มีวิหารที่ใหญ่โต คือใหญ่โตมากหลายหลังอยู่เหมือนกัน เท่าที่หาข้อมูลใน google ระบุว่าวัดนี้มีพื้นที่ถึง 80 ไร่เลยทีเดียว เป็นอีกสถานที่หนึ่ง ที่เรามีโอกาสได้มาเที่ยวชมในวันนี้ และรู้สึกว่ามีความประทับใจ โดยเฉพาะเสียงกระดิ่งน้อยที่ร้อยเรียงไล่กันเป็นทางบริเวณชายคาของพระวิหารในเวลาที่ต้องลมพัดผ่าน กรุ้งกริ้ง กังวาล สดับหู ฟังแล้วเพลิน ฟังแล้วเย็นใจ เบิกบานอย่างบอกไม่ถูก
ถ้าใครเห็นสภาพเราที่เดินอยู่ในวัดตอนนี้ อาจจะต้องอธิบายเรื่องนี้นิดนึง ที่เสื้อผ้าเราชุ่มไปด้วยเหงื่อเป็นสิ่งที่เกิดจากอากาศที่ร้อนในช่วงกลางวันของฤดูร้อนประเทศไทย ไม่ได้เกิดจากการเข้าวัดแล้วร้อนรนด้วยเป็นคนบาป หรือคนชั่วแต่อย่างใด อันนี้เข้าใจตรงกันนะ..
แดนเทวดา
ออกจากวัดมาประมาณ 20 นาที เราก็มาถึงสถานที่ท่องเที่ยวอีกที่หนึ่ง “แดนเทวดา” นี่คือชื่อของที่แห่งนี้ ดูจะเป็นทริปที่มีความเชื่อความศรัทธาอยู่เบื้องหลัง ตะกี้ก็ไปเที่ยววัดมา ตอนนี้อยู่แดนเทวดาเลยทีเดียว
แดนเทวดา เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจอีกแห่งหนึ่ง สำหรับใครที่เดินทางในเส้นทาง เชียงใหม่-แม่แตง มีความสวยงามด้วยธรรมชาติ ต้นไม้ น้ำตก ที่สร้างสรรค์ขึ้นมาใหม่ แบ่งเป็นโซนต่างๆ แตกต่างกัน เอาใจคนชอบถ่ายรูป เพราะมีมุมสวยๆ มากมาย พร้อมทั้งร้านอาหารและเครื่องดื่ม พวกเราทั้งสี่คนฝากท้องมื้อเที่ยงกันที่นี่
ความเก๋อย่างหนึ่งที่เราเจอในร้านอาหารที่นี่คือ เค้าเสริฟอาหารด้วยปิ่นโต คือเราสามารถที่จะถือปิ่นโตน่ารักๆ สีสันสดใส แล้วไปนั่งกินข้าวจุดไหนก็ได้ในแดนเทวดาแห่งนี้ เลือกได้ตามชอบเลย ก็เป็นไอเดียที่น่ารักดีเหมือนกัน แต่พวกเราเลือกที่จะเปิดปิ่นโต และโซโล่กันที่ห้องอาหารนี่แหละ น้ำย่อยรออยู่แล้ว …
จบทริปเที่ยวเชียงใหม่ 2 วัน 1 คืน เป็นทริปที่ไม่ต้องเตรียมตัวอะไรมาก หรือเรียกได้ว่าไม่ต้องเตรียมอะไรเลยก็ได้ มันง่าย ไม่คิดเยอะ อาจเพราะอยู่ในเขตจังหวัดที่เรามีความคุ้นเคยอยู่แล้วก็ได้
เราเคยได้ยินบ่อยๆ ว่าการออกไปเที่ยวเป็นการชาร์จแบตให้ชีวิต แต่ที่เราเจอมาหลายๆ ครั้ง ส่วนใหญ่เรียกว่ามันเป็นการใช้ไฟเกินขนาดมากกว่า บางทีก็ไม่มีเวลาให้ชาร์จแบตเลย สำหรับเราการออกไปเที่ยวที่ไหนก็ตาม เป็นการใช้พลังที่เรามีแลกกับประสบการณ์ ความทรงจำ ความสนุก ความตื่นเต้น อะไรแบบนี้มากกว่า และครั้งนี้ก็เช่นกัน
สนุกง่ายๆ ใช้ตังค์ไม่เยอะ ใช้เวลาไม่มาก กลับบ้านลุยทำสิ่งสำคัญของชีวิตกันต่อไป… สวัสดี 😊