5 สิ่งที่ผมได้เรียนรู้จาก Korea Grandma คุณย่ายูทูปเบอร์วัย 73 ปี

Korea Grandma book
Korea Grandma book Review

เชื่อว่าหลายๆ คนน่าจะรู้จักคุณย่า Youtuber สูงวัยท่านนี้นะครับ คุณย่าคนนี้ชื่อพัคมักเร เธอและหลานสาว ชื่อ คิมยูรา เป็นเจ้าของช่อง Korea Grandma ที่มีผู้ติดตามกว่าหนึ่งล้านสามแสนคน

วันนี้คุณย่าพัคมักเร และหลานสาว พวกเค้ามีหนังสือออกมาให้เราได้อ่านกัน เป็นเรื่องราวประวัติคร่าวๆ ของคุณย่าพัคมักเรในส่วนแรก และส่วนที่สองเป็นเรื่องราวที่ถูกบันทึก ระหว่างย่า และหลานสาว กับชีวิตที่เปลี่ยนไปจากการเป็น youtuber ชื่อดังในชั่วข้ามคืน ไม่ได้เป็นหนังสือ how to หรือมีวิธี เคล็ดลับ หรือทางลัดอะไร ที่จะทำให้เราเอามาใช้เพื่อประสบความสำเร็จในการทำ youtube นะครับ ไม่เกี่ยวเลยสักนิด แต่มีเรื่องที่ดีกว่านั้นอีก.. นั่นคือ แรงบันดาลใจในการใช้ชีวิตนั่นเอง

ที่มา https://www.instagram.com/korea_grandma

ผมมีโอกาสได้อ่านหนังสือเล่มนี้ที่มีชื่อว่า “ฉันไม่ยอมตายง่ายๆ หรอก” และรู้สึกว่าเป็นหนังสือที่ดีเลยเล่มนึง และเข้ากับอารมณ์ความรู้สึกของตัวผมเองในตอนนี้ ที่อายุก็มากขึ้นเรื่อยๆ ทุกวัน และเพราะแบบนี้ ตอนที่ผมเห็นชื่อหนังสือเล่มนี้ครั้งแรกในร้าน ผมคิดว่าต้องเกี่ยวข้องกับการใช้ชีวิตของคนสูงวัยแน่นอน แค่นั้นผมก็อยากรู้แล้วหละครับว่า ในหนังสือจะมีเรื่องอะไรในนั้นบ้าง พอหยิบมาอ่านคำโปรยที่ปกหน้าและปกหลัง ก็พบว่าเป็นหนังสือเรื่องราวของ Youtuber ชื่อดังชาวเกาหลีคนนี้เอง ในเมื่อมีเรื่องราวที่ผมสนใจเป็นประเด็นหลักอยู่ในหนังสือเล่มนี้ตั้งสองเรื่อง ทั้ง ความชรา กับการเป็น youtuber ผมเลยจ่ายเงินและรีบเอามันกลับมาอ่าน และอ่านจบอย่างรวดเร็ว ส่วนตัวบอกได้เลยว่าหนังสือเล่มนี้ดีมาก ให้แง่ของมุมมองการใช้ชีวิต อ่านแล้วได้แรงบันดาลใจ ทำให้เรารู้สึกว่าเมื่อเราอายุมากขึ้นกว่านี้ ชีวิตก็อาจจะไม่ได้เป็นเรื่องที่ยาก หรือแย่เสมอไป คืออย่างน้อยผมก็มองเรื่องความแก่ดีกว่าเดิม และเชื่อว่าถ้าใครได้อ่านก็จะได้โมเมนต์ดีๆ ไม่ต่างกันแน่นอน

ผมอยากจะเล่าเรื่องของคุณย่าพัคมักเรให้ฟังกันนิดนึงนะครับ ด้วยความที่เป็นผู้หญิง คุณย่าในวัยเด็กเลยไม่ได้เรียนหนังสือ ถึงแม้ว่าคุณย่าอยากจะเรียนแค่ไหนก็ตาม และเมื่ออายุได้ 20 ก็แต่งงาน และเป็นการแต่งงานที่คุณย่าพูดอยู่เสมอว่าเป็นเรื่องที่ผิดพลาดครั้งใหญ่ในชีวิต สามีเจ้าชู้ หายตัวออกจากบ้านไปบ่อยๆ ทำงานแต่ไม่ส่งเงิน ตัวย่าพัคมักเรต้องทำงานและเลี้ยงลูก 3 คนด้วยตัวเอง โดนญาติตัวเองโกง ทำให้ต้องจ่ายหนี้ที่ไม่ได้ก่อ รวมๆ ก็คือเรียกว่าเป็นชีวิตที่ค่อนข้างลำบาก และต้องต่อสู้มาตลอด ก้มหน้าก้มตาทำงานหนัก พอเงยหน้าขึ้นมาก็พบว่าตัวเองแก่ซะแล้ว เท่านั้นไม่พอ หมอยังบอกว่าคุณย่ามีโอกาสจะเป็นโรคอัลไซเมอร์อีกด้วย ซึ่งพี่สาวของย่าพัคมักเรก็เป็นโรคนี้อยู่ด้วยเหมือนกัน ฟังดูเป็นอะไรที่ใจร้ายมากๆ เลยว่าไหมครับ

คุณย่าพัคมักเร และคุณหลานคิมยูรา
ที่มา https://www.instagram.com/korea_grandma

แต่ในความใจร้ายของโชคชะตาที่คุณย่าพัคต้องเจอตอนนั้น เป็นจุดเริ่มต้นของชีวิตใหม่อันสุดจะคาดเดาเลยละครับ พอหลานรักคุณคิมยูรา รู้เรื่องนี้ก็พยายามหาหนทางที่จะช่วยให้ย่าพัคมักเรไม่เป็นโรคความจำเสื่อม เธอก็พยายามทำหลายทางอยู่นะครับ เธอรู้สึกสงสารคุณย่า ที่อายุขนาดนี้แล้วยังไม่ได้ใช้ชีวิตของตัวเองเลย แล้วยังจะต้องมาเป็นโรคความจำเสื่อมอีก เธอตัดสินใจเลือกที่จะพาคุณย่าไปเที่ยว โดยมีปลายทางคือประเทศออสเตรเลีย การพาย่าเที่ยวครั้งนี้เป็นการตัดสินใจครั้งใหญ่ของคุณคิมยูราด้วยเหมือนกัน เพราะเธอต้องลาออกจากงานที่ทำ เพราะว่าไม่สามารถลาพักร้อนพาย่าไปเที่ยวได้ เธอเลยลาออกซะเลย ตอนนั้นอารมณ์คงประมาณไม่มีเรื่องไหนสำคัญกว่าเรื่องของย่าอีกแล้ว ฟังแบบนี้แล้ว ก็เดาไม่ออกเลยนะครับว่าทั้งสองคนย่าหลานจะไปเจอปลายทางแบบไหน

หลังจากกลับมาเธอก็ได้โพสคลิปลงใน youtube ด้วยเหตุผลแค่ว่า คุณย่าจะได้เปิดดูได้ง่ายๆ และจะได้ส่งลิงค์ไปให้ครอบครัวคนอื่นๆ ได้ตามดูด้วย ยังไม่ได้คิดว่าจะทำช่องเป็นเรื่องเป็นราว แต่ด้วยความที่คุณหลานคิมยูรา ไม่ได้ทำงานอะไร เพราะเธอลาออกจากงานแล้ว และเธอก็คิดว่า อยากช่วยให้ย่าไม่เป็นโรคความจำเสื่อม การลาออกจากงานเพื่อพาย่าไปเที่ยวแค่ครั้งเดียวเนี่ย แล้วจะกลับไปหางานทำต่อ ดูจะเป็นเรื่องไม่ค่อยเข้าท่าสำหรับเธอเท่าไหร่ เธอเลยคิดว่างั้นน่าจะลองทำช่อง youtube เป็นเรื่องเป็นราวดู จะได้พาย่าไปเที่ยวด้วย ทำกิจกรรมร่วมกันไปด้วย ถ่ายวีดีโอไปด้วย และนี่คือจุดเริ่มต้นของช่อง Korea Grandma ครับ

ในช่วงแรกๆ ที่เริ่มทำก็เหมือนกันกับพวกเราเลยครับ คนติดตามในตอนเริ่มต้นก็จะเป็นบรรดาคนในครอบครัว ญาติสนิท และบรรดาเพื่อนฝูง วันหนึ่งคุณหลานคิมยูราก็ไล่ดูคลิปที่ดังๆใน youtube คลิปที่มีคนดูเยอะๆ ว่าเค้าทำอะไรกัน และก็เห็นว่ามีคนดูเรื่องการแต่งหน้าเยอะมาก ก็เลยคิดว่าน่าจะลองให้ย่าพัคแต่งหน้าทำเป็นคลิปดู เพราะว่าย่าพัคเธอเป็นคนชอบแต่งหน้าอยู่แล้วด้วย ย่าหลานก็เลยทำคลิปแต่งหน้ากันเป็นคลิปแรก

และหลังจากที่อัพโหลดคลิปนี้ขึ้นไป เช้าวันต่อมาโลกของทั้งสองคนก็เปลี่ยนไปตลอดกาลเลย!!

ถ้าเราอยู่ในแวดวงการทำ youtube เราจะคุ้นเคยและได้ยินคำว่า คลิปเปลี่ยนชีวิตกันบ่อยๆ และคลิปแต่งหน้าของย่าพัคคือคลิปนั้นเลย ในเช้าวันนั้นคุณหลานคิมยูราถึงกับช็อค ซึ่งเป็นใครคงจะช็อคเหมือนกัน ที่คลิปที่อัพไปเมื่อคืนเนี่ยมีคนดูถึง 1 ล้านวิว และที่ตามมาก็คือ จากผู้ติดตาม 18 คน เพิ่มเป็น 180k คนในช่วงเวลา 2 วัน!! และจากนั้นก็มีงาน มีโอกาสเข้ามามากมายเลยครับ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ สปอนเซอร์, รีวิวสินค้า, งานสัมภาษต่างๆ เรียกว่าชีวิตเปลี่ยนไปเลยจริงๆ

เรื่องราวของย่าพัคมักเร และคุณหลานคิมยูรา ถ้าเราฟังจากสื่อที่เคยพูดถึงในตอนที่พวกเค้าเริ่มดัง ประเด็นหลักก็คงจะมีแต่เรื่องราวความสำเร็จในชั่วข้ามคืนในการเป็น Youtuber ของพวกเค้า แต่ถ้าเราได้มาอ่านหนังสือเล่มนี้นะครับ เรื่องการเป็น youtuber เป็นประเด็นเล็กๆ ไปเลย เรื่องราวหลักๆ ทั้งหมด ที่ได้อ่านเป็นเรื่องราวของแรงบันดาลใจครับ และผมเชื่อว่าเรื่องราวของเธอทั้งสองจะทำงานได้ดีกับความรู้สึกของทุกคนที่ได้อ่านหนังสือเล่มนี้

ทีนี้เรามาฟังสิ่งที่ผมได้รับจากการอ่านหนังสือของคุณย่าพัคมักเรเล่มนี้กันหน่อยดีกว่า

5 สิ่งที่ผมได้เรียนรู้จาก Korea Grandma คุณย่ายูทูปเบอร์วัย 73 ปีคนนี้

ที่มา https://medium.com/aginginbeauty/70-year-old-south-korean-youtube-star-park-makrye-is-redefining-beauty-daf20170c729

1. ชีวิตต้องการเรื่องตื่นเต้น ทำสิ่งที่อยากทำ สิ่งที่ทำให้ชีวิตมีความสุขในทุกวัน

เรื่องความน่าตื่นเต้น คุณย่าพัควัย 73 ปีอาจจะเป็นไม่กี่คนนะครับที่จะเรียกว่าโชคดีก็ได้ ที่ได้ทำอะไรแปลกใหม่ที่มากับการเป็น youtuber ที่มีชื่อเสียง แต่เรื่องราวของเธอก็เป็นตัวอย่างได้ดีว่า การได้ทำอะไรแปลกใหม่ ที่น่าตื่นเต้น มันทำให้ชีวิตเรามีชีวิตชีวากว่าเดิม เราจะมีพลังในการดำเนินชีวิตมากกว่าเดิม เรื่องนี้ไม่ได้หมายความว่าเราจะต้องมีชื่อเสียงหรือมีเงินมากพอที่จะออกไปท่องโลก หรือทำกิจกรรมที่น่าตื่นเต้นอะไรแบบนั้นนะครับ เราอาจจะเลือกทำสิ่งที่เราทำได้ อย่างเช่นเราอยากจะทำ youtube เราก็ตั้งใจและก็ทำเลย ถ้ามันทำให้ชีวิตตื่นเต้น หรือมีความหมาย นั่นก็น่าจะเพียงพอแล้ว หรือใครอยากทำสวน อยากต่อโมเดลแบบจำลอง ออกไปถ่ายภาพ อะไรก็ได้นะครับ ทำเลยครับ อย่าไปรอว่าต้องมีอันนั้น ต้องทำอันนี้ให้ได้ก่อน การที่ทำอะไรมากมายอาจจะทำให้เราเหนื่อยก็จริง แต่เป็นความเหนื่อยที่เรารู้สึกดีนะครับ และมีพลังงานที่ส่งออกไปทำให้ด้านอื่นๆ ของชีวิตเราดีขึ้นตามไปด้วย

จากเรื่องที่คุณหมอบอกย่าพัคมักเรว่าเธอเสี่ยงจะเป็นโรคความจำเสื่อม ทำให้เธอเองก็รู้สึกโกรธตัวเองเหมือนกันที่ปล่อยเวลาผ่านไป มัวแต่ทำแต่งาน จนมารู้สึกตัวอีกทีก็แก่เอาซะแล้ว ในหนังสือแกพูดถึงเรื่องสวนสนุกที่แกไม่เคยไปเที่ยวเลยสักครั้ง และพออยากจะไปตอนนี้ ก็ขึ้นเครื่องเล่นในสวนสนุกไม่ได้เพราะอายุเกิน ทั้งๆ ที่ร้านอาหารของแกเนี่ย ก็อยู่ตรงหน้าสวนสนุกเอเวอร์แลนด์มาตลอด 20 ปี

ตอนนั้นย่าพัคคิดว่าชีวิตเธอคงจะกลับไปมีชีวิตชีวาไม่ได้อีกแล้ว ชีวิตนี้พอแล้วดีกว่า แค่ทำร้านอาหารตอนนี้ให้ดี ส่งมอบให้ลูกสาวทำต่อ แล้วตายไปโดยไม่เป็นภาระกับใครๆ …

หลังจากที่คุณย่าได้ทำอะไรที่ตื่นเต้น เธอก็พบว่าชีวิตมันมีอะไรอีกมากให้เธออยากทำ อยากรู้ อยากลอง มันอาจจะเป็นตัวอย่างที่ดูสุดโต่งไปหน่อย เพราะย่าพัคเธอได้รับโอกาสมากมายจากการเป็น Youtuber ชื่อดัง แต่ผมก็ยังมองว่า ถ้าชีวิตเรามีเรื่องน่าสนใจ น่าตื่นเต้นอยู่เรื่อยๆ ถึงเราจะอายุมากขนาดไหน เราก็จะยังคงกระชุ่มกะชวยกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าได้

2. สุขภาพเป็นเรื่องจำเป็น ที่ต้องใส่ใจ และต้องเริ่มทำอะไรสักอย่างตั้งแต่วันนี้เลย

เรื่องนี้เชื่อว่าไม่มีใครไม่รู้นะครับ ว่าสุขภาพสำคัญกับการมีชีวิตของเราแค่ไหน เรียกว่าเป็นตัวตัดสินคุณภาพชีวิตเลยก็ว่าได้ อย่างเรื่องของคุณย่าพัคมักเร ที่ได้เล่าไป แกเป็นคนที่ทำงานมาทั้งชีวิต เรียกว่าทำงานจนซี่โครงหัก ขนาดนั้นเลย แต่การที่ทำงานมาตลอดร่างกายโดยรวมก็เหมือนได้ออกกำลังมาตลอดเช่นกัน นั่นหมายความว่าถึงคุณย่าจะมีอาการปวดเนื้อ ปวดตัวอยู่บ้างตามอายุ แต่โดยรวมแล้วต้องบอกว่าแกแข็งแรงมากๆ เช่นกัน ถ้าได้ดูคลิปในช่องของแก เราจะเห็นได้ชัดเลยว่าแกแข็งแรงจริงๆ

ในวันนึงพวกเราทุกคนต้องแก่ ถ้าไม่ได้ไปไหนก่อนวัยอันควรอะนะ เราจะมีวันที่อายุ 70 ปีเหมือนกันทุกคน การที่จะเป็นคนในวัย 70 ที่มีสุขภาพดี จำเป็นที่จะต้องให้ความสำคัญกับร่างกายตั้งแต่วันนี้ ยิ่งเราใส่ใจได้เร็ว และสม่ำเสมอ เราจะยิ่งสูงวัยไปแบบแข็งแรงอย่างมีคุณภาพ และเราจะสามารถทำสิ่งต่างๆ ที่เราอยากทำได้อีกมากมายด้วย

3. ถ้ามองย้อนกลับไปทุกคนมีเรื่องราวที่เจ็บปวดเป็นของตัวเอง อยู่ที่วันนี้เราจะเลือกมองมันแบบไหน

เมื่อวันที่เราเดินทางเข้าสู่อายุที่มากขึ้นในระดับหนึ่ง เรามักจะต้องผ่านเรื่องราวต่างๆ ในชีวิตมากมาย ทั้งเรื่องที่มีความสุข และเรื่องที่มีความทุกข์ คุณย่าพัคมักเรก็เหมือนกันครับ อย่างที่ผมเล่าให้ฟังไปก่อนหน้านี้ว่าชีวิตที่ผ่านมาของแกก็ไม่ได้จะมีความสุขสักเท่าไหร่ หรือไม่ก็แกอาจจะเล่าเรื่องที่เป็นความทรงจำที่มีเรื่องความทุกข์เป็นส่วนใหญ่ให้เราฟังในหนังสือก็เป็นได้ การที่หนังสือเล่มนี้มีคนเขียนสองคน และอยู่ในวัยที่แตกต่างกันในระดับย่าหลาน ทำให้เราได้ฟังเสียงความคิดเห็นของคนสองวัยไปพร้อมๆ กัน เราได้ฟังว่าย่าคิดอย่างไรกับชีวิตตัวเองที่ผ่านมา เราได้ฟังความคิดหลานถึงชีวิตตัวเองและความคิดเห็นที่มีกับชีวิตย่าด้วย

มีการศึกษาเรื่องความทรงจำของมนุษย์เค้าบอกว่า คนเราส่วนใหญ่มักจะจดจำความเจ็บปวดที่ผ่านมาได้ดีกว่าความสุข และก็เหมือนกับประโยคหนึ่งที่ย่าพัคพูดเอาไว้ในหนังสือว่า ความเจ็บปวดเป็นความทรงจำอย่างหนึ่ง ถ้าเราจมอยู่กับอดีต แล้วมัวแต่โทษสิ่งที่เกิดขึ้นที่ผ่านไปแล้ว ว่ามันทำให้ชีวิตของเราเป็นแบบนี้ เราคงจะมีความสุขกับชีวิตที่เหลืออยู่ได้ยากสักหน่อย ช่วงที่คุณย่าอายุ 70 ปี เจ็บกระดูกซี่โครง และเอ็นหัวเข่า ย่าแค่คิดว่าทำงานไปอีกซักหน่อย ส่งร้านต่อให้ลูกสาวแล้วก็ตายไปโดยไม่เป็นภาระกับใครก็พอ แต่พอหลังจากที่แกได้สนุกกับการเป็น youtuber แกก็เปลี่ยนความคิดใหม่ แกอยากจะอยู่ให้ได้นานๆ สนุกกับชีวิตที่เหลือให้มากขึ้น ได้ทำอะไรที่อยากทำ ที่ยังพอทำได้ และยังทำไหว

การได้ทำอะไรที่ตัวเองสนใจ เป็นการเพิ่มคุณค่าให้ตัวเอง ทำให้ในแต่ละวันมีความหมาย และเป็นสิ่งที่ช่วยให้เรา move on จากความเจ็บปวดในอดีตได้ ไม่ว่าที่ผ่านมาเราจะมีเรื่องแย่ๆ แค่ไหน ตัวเราในวันนี้เป็นคนที่จะเลือกว่า เราจะใช้ชีวิตวันนี้ยังไง เราจะทำอะไร เราอาจจะไม่ได้เจอความเจ๋งในชีวิตอย่างการเป็น youtuber ชื่อดังเหมือนย่าพัค โอกาสแบบนั้นคงไม่ได้มีให้สำหรับทุกคน แต่เมื่อเราเลือกสิ่งที่เราอยากทำ สิ่งที่มีความหมาย นั่นก็เป็นจุดเปลี่ยนที่ดีมากๆ แล้วครับ

4. เป็นตัวของตัวเอง เพราะคนอย่างเรามีแค่คนเดียวในโลก

มนุษย์เรามักจะตั้งเงื่อนไข หรือเรียกอีกอย่างว่าข้อแก้ตัวให้กับตัวเองมากมาย เพื่อใช้ป้องกันตัวเอง เพื่อหลบเลี่ยงความกลัวต่างๆ เช่น กลัวเสียหน้า กลัวเสียเวลา กลัวเหนื่อย กลัวยาก กลัวทำไม่ได้ และอีกมากมาย คนเราส่วนใหญ่เอาจริงๆ คือรู้ตัวแหละครับว่าเราชอบทำอะไร อะไรที่เราทำแล้วเรารู้สึกดี มีความสุข แต่เรามักจะมีเงื่อนไขมากมายยกเอามาเป็นเหตุผลให้ตัวเองไม่ทำซักที ถึงเราจะอยากทำมากแค่ไหน แต่ถ้าเป็นอะไรที่เราต้องขยับ ออกแรง ไปอยู่ในพื้นที่ที่เราไม่คุ้นเคย ออกมาจาก comfort zone ที่เราเคยอยู่สบาย และรู้สึกปลอดภัยแบบปลอมๆ เราก็มีแนวโน้มที่จะไม่อยากทำ

เรื่องหนึ่งก็คือ เรากลัวว่าคนแบบเรามันไม่โอเค ที่ไม่โอเคก็เพราะเราเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนที่เรารู้สึกเก่งกว่า หรือเอาไปเทียบกับ idol ที่เราชื่นชอบ ซึ่งแน่นอนครับว่ามันเทียบกันไม่ได้อยู่แล้ว อย่างเวลาเราอยากจะทำ youtube รีวิวสินค้าอะไรสักอย่าง เราก็จะมีภาพจำของช่องที่เราเคยดูอยู่ในหัว และพอเราทำออกมาได้ไม่เหมือนสิ่งที่อยู่ในหัวเรา เราก็รู้สึกว่ามันเป็นความล้มเหลว เราก็เลยไม่กล้าที่จะทำต่อ ทีนี้เราลองมาดูเรื่องของย่าพัคสักหน่อย โอเคว่าในวันที่มีความสำเร็จ ทุกคนก็ให้การยอมรับแน่ๆ อยู่แล้ว แต่ลองคิดย้อนไปตอนที่ย่ายังไม่ได้เป็น youtuber ชื่อดัง ถ้าเราเป็นย่าพัคมักเรในตอนนั้น เราก็คงมีความคิดแบบเดิมเหมือนกันถูกไหม ชั้นแก่ขนาดนี้ใครจะอยากดู ชั้นพูดไม่เก่งเหมือนคนอื่น ใครจะอยากมาติดตาม โชคดีนะครับ ที่ย่าไม่รู้จัก youtube มาก่อน เลยไม่ทันได้มโนไปก่อนว่าคนอื่นจะคิดยังไง แค่รู้ว่าคุณหลานคิมยูราจะถ่ายวีดีโอตอนแต่งหน้าก็เท่านั้น แกเลยยังเป็นตัวของตัวเอง เป็นตัวตนที่เธอเป็นอยู่ในทุกๆ วัน และการเป็นตัวของตัวเองของคุณย่านี่แหละครับที่ทำให้น่าสนใจ เพราะแต่ละคนมีความแตกต่าง เป็นในสิ่งที่เราเป็น นอกจากจะสบายใจแล้ว เรายังไม่เหนื่อยด้วยนะครับ การที่ต้องพยายามเป็นคนอื่นนี่มันลำบากมาก และเราทำแบบนั้นได้ไม่นานหรอกครับ

5. สำเร็จหรือไม่ก็อีกเรื่อง ที่สำคัญคือการได้ลงมือทำ

ข้อนี้เป็นความรู้สึกของผมเองหลังจากที่ได้อ่านหนังสือเล่มนี้จบ หลายๆ เรื่องราวความสำเร็จที่เราได้อ่าน ได้ยิน ได้ฟังมา ดูเหมือนว่าส่วนใหญ่จะเป็นเหมือนโชคช่วย วาสนาส่ง บุญบารมีที่สะสมมา จะคิดแบบนี้ผมก็ว่ามันไม่ได้ผิดอะไรนะครับ ก็อาจเป็นแบบนั้นก็ได้ แต่ก็อย่าลืมนะครับว่า ทุกคนที่สำเร็จไม่ได้นอนอยู่เฉยๆ แล้วสำเร็จ หรือนั่งกินข้าวสวยๆ หล่อๆ แล้วอยู่ๆ ก็สำเร็จ ทุกคนล้วนแล้วแต่ต้องลงมือทำอะไรสักอย่าง เราอยากสำเร็จในการถูกหวยเรายังต้องซื้อหวยเลยถูกไหมครับ เพราะแบบนี้เราไม่มีทางรู้หรอกครับว่า สิ่งที่เรากำลังตั้งใจทำอยู่มันจะพาเราไปถึงจุดไหน แต่ที่รู้แน่ๆ คือ ถ้าไม่ลงมือทำมันก็ไม่มีทางสำเร็จแน่ๆ

ความพยายามและความสำเร็จมักจะมาคู่กัน แต่ทั้งสองไม่ได้เป็นสิ่งเดียวกัน ต้องยอมรับนะครับว่าชีวิตคนเรามันก็เป็นแบบนี้จริงๆ ทุกๆ ความพยายามของเราไม่ได้หมายความว่าจะมีผลลัพท์อย่างที่ตั้งใจรออยู่เสมอไป ความสำเร็จมีปัจจัยมากมายเข้ามาเกี่ยวข้อง แต่ยังไงก็ตาม ในทุกๆ ความสำเร็จก็จะต้องมีความพยายามเป็นหัวใจ และที่แน่นอนกว่านั้นคือทุกความสำเร็จมีจุดเริ่มต้นที่การลงมือทำครับ แค่เราลงมือทำนั่นก็หมายความว่าเรามีโอกาสสำเร็จในสิ่งที่ตั้งใจแล้ว

อย่าลืมลองหาหนังสือเล่มนี้มาอ่านกันดูนะครับ ฉันไม่ยอมตายง่ายๆ หรอก หนังสือพิมพ์สี่สี มีภาพถ่ายประกอบสวยงาม เหมือนได้เปิดอ่านไดอารี่ส่วนตัวของคุณย่าและคุณหลานเจ้าของช่อง Korea Grandma เลยหละครับ แนะนำให้อ่านเลย

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *