ตัวผมเองในวันนี้ ที่อายุ 45 ปีเข้าไปแล้ว ซึ่งก็ดูจะเป็นช่วงอายุที่เหมาะสมมากๆ กับการที่จะเริ่มเรียนรู้สิ่งที่อยู่ภายใน ผมเริ่มฝึกสมาธิอย่างจริงจังช่วงต้นปีที่ผ่านมาครับ และได้บันทึกกราฟคลื่นสมองเอาไว้ด้วย เป็นการเก็บสถิติ เหมือนที่เราใส่ smart watch แล้วออกไปวิ่งนั่นแหละ ด้านนึงมันช่วยทำให้เรารู้สึกว่าอยากทำให้ได้ทุกวันอย่างต่อเนื่อง อีกด้านก็คือเราได้เอาไว้เปรียบเทียบความก้าวหน้าในการฝึกว่าเรานั่งได้ดีขนาดไหน และถ้ามีความรู้สึกอะไรที่ไม่ธรรมดา มีปรากฎการอะไรที่สุดคาดเดาเกิดขึ้น กราฟก็อาจจะแสดงให้เราเห็นได้ และเป็นหลักฐานว่ามันมีอะไรเกิดขึ้นจริงๆ ..
หนังสือ You are the Placebo Dr.Joe Dispenza
การที่ได้อ่านหนังสือ You are the placebo คือจุดเริ่มต้นที่ทำให้ผมฝึกสมาธิอย่างจริงจัง และหนังสือ Dr.Joe Dispenza เล่มนี้ก็พาผมได้ไปรู้จักเพื่อนใหม่ที่สนใจในสิ่งเดียวกัน ได้ไปรู้ไปเห็นหลายๆ สิ่งที่พิสูจน์ไม่ได้ด้วยวิทยาศาสตร์แต่เรารู้สึกได้ว่ามันมี ที่ดีมากๆ ก็คือผมได้ทำความเข้าใจพุทธศาสนาได้อย่างถ่องแท้มากขึ้น เรียกว่าอย่างก้าวกระโดดก็น่าจะได้ มันเหมือนมีแรงดึงดูดส่งเรื่องต่างๆ มาให้ได้เจอ ได้รู้จัก ได้เข้าใจ ราวกับว่าสิ่งเหล่านี้เตรียมเอาไว้ให้ผมอยู่แล้ว..
ถ้าฟังถึงตรงนี้รู้สึกว่า ทอมมี่ นี่ขี้โม้น่าดู ก็ให้คิดซะว่า ผมเล่าให้ฟังสนุกๆ แล้วกันนะครับ
การนั่งสมาธิครั้งนี้ผมมีการหาข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ และเรียนรู้คำสอนทางศาสนาควบคู่กันไป เมื่อมีความเข้าใจมากขึ้น ก็ดูเหมือนว่าการนั่งสมาธิจะทำได้ดีขึ้นเรื่อยๆ การฝึกของผม จะทำอยู่สองแนวทางสลับกันไปคือ
แนวทางแรกเป็นการทำสมาธิตามแบบ Dr. Joe Dispenza (ผู้เขียนหนังสือ You are the placebo) ซึ่งจะมีความเป็นวิทยาศาสตร์ ลักษณะเป็นการทรานซ์ มีงานวิจัยต่างๆ รองรับ และมีผลลัพท์จากคนปฏิบัติแนวทางนี้ค่อนข้างเยอะ ถึงผมจะบอกว่าทางนี้เป็นทางวิทยาศาสตร์ก็จริง แต่สิ่งที่เค้าค้นพบนั้นทางพุทธศาสนาของเรามีบอกเอาไว้หมดแล้ว อันนี้ก็เป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นเรื่องหนึ่งที่ทำให้ผมสนใจเช่นกัน
เล่าให้ฟังคร่าวๆ Dr.Joe มีแนวคิดที่ว่า จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว เมื่อจิตเชื่อว่าเราเป็นอะไรได้ หรือทำอะไรได้ จะส่งผลแบบเดียวกันกับร่างกายในระดับยีนส์ ไม่ว่าจะเป็นการรักษาโรค การสร้างความสำเร็จให้ชีวิต วิธีการของเค้าจะเป็นการนั่งสมาธิเปิดการรับรู้ภายใน และใช้เสียงนำสมาธิเพื่อเข้าสู่สภาวะที่ไร้ตัวตน และในสภาวะนี้ จิตของเราจะเข้าสู่พื้นที่ที่เค้าเรียกว่า สนามพลังงานควอนตั้ม และสิ่งที่เราคิด สิ่งที่เราตั้งใจในสนามพลังงานนี้ จะเป็นประสบการณ์ที่เกิดขึ้นจริง มีความชัดเจน และตัวเราจะมีอารมณ์ร่วมด้วยซึ่งเป็นปฎิกิริยาจากร่างกายที่บอกว่าเราได้รับประสบการณ์นั้นแล้วจริงๆ
แนวทางที่สองเป็นการฝึก อานาปานสติ ตามหลักพุทธศาสนา หรือการทำสมาธิโดยการนั่งดูลมหายใจเข้าออก เป็นการฝึกเพื่อให้เรารู้ตัว อยู่กับปัจจุบัน มีความคิดก็รู้ว่าคิด พอรู้ว่าคิดก็กลับมาที่ลมหายใจ วิธีพื้นฐานง่ายๆ ที่ได้เรียนรู้กันมาตั้งแต่เด็กๆ
ในช่วงเวลา 3 เดือนที่ผ่านมา กับการฝึกสมาธิทุกวันเกิดอะไรขึ้นบ้าง?
เราเป็นคนที่ละเอียดขึ้น
เวลาที่เห็นอะไร อ่านอะไร เจออะไรที่ไม่ถูกใจ เมื่อก่อนก็จะตัดสินมันแล้วก็ใส่อารมณ์ความคิดเห็นเราลงไปอย่างไว แบบออโต้ อันนั้นไม่ดีเพราะ…, คนนี้มันเป็นยังงี้มันเลยยังงั้น, เมื่อก่อนน่าจะทำแบบนี้ จะได้แบบนั้น.. ไปต่อได้มากมาย แต่ช่วงหลังๆ จะทันความคิดตัวเองละเอียดขึ้น ไวขึ้น รู้ว่าสิ่งที่เกิดนั้นเราจำเป็นต้องใส่ใจ สนใจไหม ถ้ามันเกื้อกูลให้ชีวิตดีขึ้น ก็เอาสติไปคิดรับรู้ อะไร ยังไงต่อไป แต่ถ้าไม่ เราก็จะวางมันแล้วไปทำอย่างอื่นซะ เรื่องนี้เป็นสิ่งที่ชัดเจนที่สุดที่เกิดขึ้น แต่มันก็ไม่ใช่ว่าจะทำได้ทุกครั้งนะครับ ก็มีเหมือนกันที่รู้ว่าสิ่งที่คิดไม่ได้ทำให้ชีวิตดีขึ้น แต่ก็หยุดความคิดที่ไปปรุงแต่งมันไม่ได้ก็มี ก็ต้องฝึกกันต่อไปครับ ผ่านมา 3 เดือนได้ขนาดนี้ ส่วนตัวผมก็ถือว่าทำได้ดีมากๆ แล้ว สมองโล่ง อารมณ์ดี ชีวิตอยู่ในความเป็นปกติมากขึ้น มีความสุขอยู่กับปัจจุบันได้ดีขึ้น
Focus กับสิ่งที่ทำได้ดีขึ้น
เมื่อเรามีเรื่องให้คิดน้อยลง เราก็มีพลังสมองเอาไปใช้ทำสิ่งที่จำเป็นได้ดีขึ้น อ่านหนังสือได้ไวและมีความจำที่ดีกว่าเดิม คิดงาน ทำงาน ได้ดีกว่าเดิม ได้งานดีขึ้น มากขึ้น ในเวลาเท่าเดิม
ได้เพื่อน
มีเพื่อนบางคนรู้จักกันจากเรื่องการทำ youtube ทำ live มาก่อน เวลาเจอกันก็คุยกันแต่เรื่องงานที่ทำกันอยู่ และพอเราสนใจเรื่องการฝึกสมาธิขึ้นมา เพื่อนคนนี้ก็กลายมาเป็นเหมือนอาจารย์คอยให้คำแนะนำ เพราะผมก็เพิ่งมารู้เหมือนกันว่าแกเป็นสายปฎิบัติและสนใจเรื่องการค้นหาสิ่งที่อยู่ภายในตัวพ่อคนนึงเลยเหมือนกัน
อีกเรื่องคือเพื่อนบ้านที่ได้คุยกันบ่อยๆ แรกๆ ก็เรื่องสัพเพเหระ ทั่วๆไป ตามสไตล์บ้านใกล้เรือนเคียง แต่พอผมเริ่มสนใจเรื่องการฝึกสมาธิ ก็ได้มารู้ว่าเพื่อนบ้านท่านนี้ก็เป็นสายปฎิบัติมานานแล้วเช่นกัน และได้รับคำแนะนำที่ทำให้ได้เปิดหูเปิดตามากมาย
และยังมีอีกหลายคนที่ได้ไปรู้จักจากเรื่องนี้ ขอบคุณทุกคนที่ให้คำแนะนำดีๆ มา ณ ที่นี้ด้วยครับ
ความตื่นเต้น
อันนี้ไม่รู้จะเรียกว่าอะไรดี ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา มีบางช่วงจะเห็นเหมือนเป็นนิมิต เป็นภาพอุกาบาตแบบ 3D วิ่งเข้าหาตัว แต่ไปทำอะไรไม่ได้ บังคับไม่ได้ ในการนั่ง 1 ชั่วโมง มีมาให้เห็นแบบเดิม 2-3 ครั้ง ทำไม่ได้ทุกวัน อันนี้ผมได้ไปอ่านบทความ นพ.สม สุจีรา และผมคิดว่าสิ่งที่เจอเนี่ย อาจจะเป็นแบบนี้ แกบอกว่า เวลาที่เราเห็นอะไรในสมาธิ จะเป็นการที่สมองที่เป็นกายหยาบสร้างขึ้นมาเพื่อให้เราไปหลงอยู่กับสิ่งนั้น เป็นการป้องกันไม่ให้เราเข้าสู่กายละเอียด
“โดยสรุปก็คือ นิมิต เป็นปรากฏการณ์ในระดับสมอง ไม่ใช่ความจริงของอีกมิติ สมองซึ่งเป็นองค์ประกอบหนึ่งของกายหยาบ ต้องการสกัดกั้น ไม่ให้ผู้ทำสมาธิเข้าถึงกายละเอียดได้ จึงออกฤทธิ์ด้วยการส่งสัญญาณภาพแปลกๆออกมา โดยใช้สองกลยุทธ์คือ ทำให้กลัวกับหลอกให้หลง ซึ่งถ้าไปสนใจมัน พลังสมาธิจะหดหาย ดังนั้น ไม่ต้องไปสนใจนิมิตในสมาธิ มันเป็นเพียงสังขารปรุงแต่ง เกิดขึ้น ตั้งอยู่ไม่นาน แล้วก็ดับไปในที่สุด” – นพ.สม สุจีรา
วันที่ 13-14 เมษายน เกิดความรู้สึกวูปวาบในขณะนั่งสมาธิตามแบบ Dr.Joe
ความรู้สึกแบบนี้ไม่เคยเป็นมาก่อน มันชัด วูบวาบ เหมือนสมองขยาย หัวโต รู้สึกว่าทุกอย่างเป็นไปได้ อธิบายยากเหมือนกันถ้าจะเอาให้ตรงกับสิ่งที่รู้สึกจริงๆ และจากกราฟสมองที่บันทึกไว้เกือบทุกวัน ทำให้เห็นว่ามีความแตกต่างเกิดขึ้นจริงๆ ความรู้สึกที่เกิดขึ้นจะเกิดใกล้เคียงกันทั้งสองวัน เพราะเป็นช่วงที่เสียงนำสมาธิพูดให้เรารู้สึกถึงบางอย่าง ดูจากภาพประกอบ
ผมเอารูปแบบคลื่นสมองไปถามผู้ที่มีความรู้เรื่องนี้ เค้าเรียกว่า เกิดสภาวะเป็นปิติ จิตเข้าทรานซ์ในระดับลึก คลื่นธีต้าสีม่วงและเดลต้าสีแดงอยู่ในระดับสูง แต่คงอยู่ได้ไม่นาน เพราะเราอาจจะตกใจ ตื่นเต้น และจิตยังไม่ได้แข็งแรงขนาดนั้น
ก่อนหน้านี้ผมรู้สึกว่าการทำสมาธิมันทำให้เราสงบและรู้สึกดีกับชีวิต และอันนี้น่าจะเรียกว่าเป็นปิติได้แล้ว แต่พอมีโอกาสได้รู้สึกจริงๆ มันยิ่งกว่านั้นมากๆ ความเข้าใจจากภาษา กับความเข้าใจจากการรับรู้ แตกต่างกันมากมาย และถึงจะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ ก็ตาม เรื่องนี้น่าจะเป็นหมุดหมายที่ดีว่าผมก็น่าจะทำมาได้ถูกทางแล้วเหมือนกัน
**ทั้งหมดคือสิ่งที่ผมเข้าใจนะครับ อาจจะถูกหรือไม่ถูกก็ได้ เป็นความคิดเห็นส่วนตัว ณ วันที่เขียน
และนี่ก็เป็นเรื่องราวการฝึกสมาธิค้นหาสิ่งที่อยู่ภายในที่ผมทำมา 3 เดือน และตอนนี้ก็เป็นเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่งในชีวิตประจำวันไปแล้ว ที่เล่ามาทั้งหมดไม่ได้จะฟันธงว่าสิ่งที่ผมทำ สิ่งที่ผมได้เห็น หรือได้รับรู้ เป็นอะไรที่ถูกต้อง เป็นเรื่องวิเศษ เพราะมันอาจจะเป็นอะไรก็ได้ ถึงผมจะรู้สึกอย่างที่ผมเล่าให้ฟังก็เถอะ
ถ้าเพื่อนๆ สนใจเรื่องการฝึกสมาธิฉบับเริ่มต้นด้วยความตื่นเต้น ผมมีลิงค์ที่น่าสนใจ ลองตามไปอ่าน ไปเรียนรู้กันได้นะครับ
- ตัวผมเริ่มต้นด้วยการฟัง youtube คุณนิ้วกลมที่เล่าเรื่องหนังสือ you are the placebo กดฟังได้ที่นี่
- ช่อง YouTube Dr.Joe Dispenza ฉบับภาษาไทย มีคนใจดีแปลให้ฟัง เพิ่มความเข้าใจในเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดี กดดูได้ที่นี่
- กลุ่มพูดคุย Dr.Joe Dispenza Thailand คลิกที่นี่
- เพจ ทันตแพทย์สม สุจีรา ผู้เขียนเรื่องราวพุทธศาสนากับแง่มุมวิทยาศาสตร์ คลิกที่นี่
- ช่อง YouTube หมอบี อันนี้แนะนำมากๆ อธิบายเรื่องธรรมะเข้าใจง่าย สนุก และบางทีก็มีอภินิหาร!! กดดูที่นี่
- อุปกรณ์วัดคลื่นสมอง Muse 2 Headband