อาทิตย์ที่ 6 ตุลาคม 2019
การเดินทางสุดหฤโหด ครั้งแรกที่โดนดีเลย์นานกว่า 4 ชม และเป็นการดีเลย์จากเวลา เที่ยงคืนเกือบๆ ตีหนึ่งเป็นเวลาใหม่คือ ตี 5 เอาเวลานอนของกูคืนมา!!
ตั้งแต่อายุเข้าสู่เลขสี่ การอดนอนนั้นน่ากลัวเหลือเกิน ล่าสุดที่จำได้คือเมื่อปีที่แล้ว ตอนดูแลพ่อที่ป่วยที่โรงพยาบาล ตอนนั้นก็ไม่ได้นอนทั้งคืน เพลียมาก ร่างกายไม่ได้เหมือนตอนวัยรุ่น การอดนอนทำให้พลังชีวิตลดลงอย่างชัดเจน การอดนอนทำให้คนมีอายุอย่างเรากลัวจะเที่ยวไม่สนุกอยู่เหมือนกัน แต่เอาเข้าจริงๆ เราก็ยังพอได้งีบบนเครื่องในระหว่างการเดินทางประมาณ 5-6 ชั่วโมงถึงจะเป็นการนอนที่ไร้คุณภาพ แต่ก็ยังดีกว่าที่จะไม่ได้นอนเลย และแน่นอนการนอนผิดเวลาทำให้นาฬิกาชีวิตรวนไปได้เหมือนกัน.. นี่แค่เริ่มต้นเดินทาง ก็มีเรื่องให้บ่นซะแล้ว
จันทร์ที่ 7 ตุลาคม 2019
การเดินทางครั้งนี้เราได้นัดกันกับครอบครัวน้องสาว ซึ่งเดินทางมาจากอเมริกา เพื่อมาเที่ยวด้วยกันที่ญี่ปุ่น น้องสาวเราเดินทางมาถึงโตเกียวก่อนพวกเรา 1 วัน พวกเราและชาวคณะจากเมืองไทยเดินทางมาถึงโตเกียวช่วงบ่าย และเดินทางเข้าเมืองถึงที่พักก็เย็นๆ แล้ว โรงแรม APA แถวๆ ชินจูกุ คือที่พักในโตเกียวตลอด 4 วันแรกนี้
วันนี้เป็นวันเกิด จอมขวัญ ลูกสาวเรา และตามกำหนดการที่เตี๊ยมๆ กันมา เราจะมีเซอร์ไพร์วันเกิดเล็กๆ ให้กับเธอ ซึ่งแม่ของเรา หรือคุณย่าของจอมขวัญถึงขนาดแอบเอา ป้าย Happy Birthday ติดมาในกระเป๋าเดินทางจากเมืองไทย แต่ด้วยความที่ทุกคนเหนื่อยมากจากการเดินทางที่ผิดเวลา เราเลยต้องเปลี่ยนแผน เลือกไปนั่งกินข้าว เพื่อฉลองวันเกิดให้สาวจอมแทน เป็นปาร์ตี้วันเกิดเล็กๆ ที่อบอุ่นมากๆ และหลังจากนั้น เตียง คือสถานที่ ที่ทุกคนในทีมต้องการ.
อังคารที่ 8 ตุลาคม 2019
เช้านี้ ณ กรุงโตเกียว ความอ่อนล้า ผลพวงจากการเดินทางเริ่มหมดไปแล้ว พวกเราในทีมตื่นกันแต่เช้า วันนี้เราจะออกไปหาอะไรกินกันที่ ตลาดปลาสึกิจิ (ตลาดเก่า) ซึ่งเป็นสถานที่ที่แม่เราอยากมามากๆ ก็จัดไปตามนั้น นี่คือทริปของแม่นี่นา ตามใจอยู่แล้ว 🙂
ตลาดปลาซึกิจิที่เราไปกันในวันนี้เป็นตลาดเก่า เห็นว่ามีตลาดใหม่ตั้งอยู่อีกที่ ทำใหญ่โตทันสมัย ไม่รู้ว่าอยู่ตรงไหนเหมือนกัน เราแค่เปิดดูใน google ผ่านๆ พวกเราเลือกที่นี่เพราะการที่เดินชิมอาหารทะเลสไตล์ Street food แบบอากาศเย็นๆ สบายๆ มันคือดีงามสำหรับคนเมืองร้อนอย่างเราๆ มาก
หลังจากที่อิ่มท้องกันแล้ว เราเดินทางกันต่อไปยัง Sanrio Puroland การเดินทางจากตลาดปลาใช้เวลาชั่วโมงกว่าๆ เราไปถึงสวนสนุกในร่มแห่งนี้ทันเวลาดูพาเหรดพอดิบพอดี ถึงจะไม่ได้ที่ยืนดูในตำแหน่งที่ดีเท่าไหร่ แต่เด็กๆ ก็น่าจะมีความสุขกันโขอยู่นะ ถ้าดูจากท่าทางแล้ว..
ทริปนี้เรามากัน 10 คน แม่เราเป็นคนที่แก่สุด และมีเด็กน้อย 2 คน คือน้องฟินส์ และน้องเพนนี ดังนั้นทริปการเดินทางครั้งนี้ก็จะเป็นการเก็บสวนสนุกเด่นๆ ในญี่ปุ่นให้ได้มากที่สุดด้วยเช่นกัน เอาใจเด็กๆ ทั้งสองคน
พวกเราอยู่ที่ Sario Puroland กันพักใหญ่ๆ จากนั้นก็เดินทางพากันมาที่ 5 แยกชิบูย่า ทีแรกที่นี่ไม่ได้อยู่ในโปรแกรมวันนี้ แต่เพราะการที่ผิดแผน วันหายไปวันนึง จากการดีเลย์ของสายการบิน ทำให้ถ้ามีช่องว่างเวลาตรงไหน เราก็จะพยายามแทรกรายการใหม่เข้าไป และที่ชิบูย่านี้ก็เช่นกัน
ห้าแยกชิบูย่า เราพากันมาเดินข้ามถนนไป และข้ามถนนมา กันหลายรอบ ที่นี่ก็เหมือนเป็นแลนด์มาร์คที่สำคัญของโตเกียว ใครมาเที่ยวก็ต้องมาเดินข้ามถนนที่ห้าแยกนี้สักรอบสองรอบ ทุกครั้งที่ไฟเขียวเราจะเห็นคนเดินถ่ายรูป ถ่ายวีดีโอด้วยท่าทางต่างๆ แทบไม่ซ้ำ มันเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งนะ ส่วนตัวเราชอบที่นี่ มาโตเกียวกี่ครั้งๆ ที่นี่จะเป็นที่ที่เราต้องมาเสมอ
เป็นวันแรกของทริปอย่างเป็นทางการ พวกเราเดินกันเยอะมาก และก็สนุกกันมากๆ ด้วย เราว่าเราเป็นคนที่น่าจะฟิตที่สุดในบรรดาสมาชิกทั้งหมด แต่ก็ยังเมื่อยได้ขนาดนี้ คนอื่นจะเป็นยังไงบ้างเนี่ย
พุธที่ 9 ตุลาคม 2019
เป็นการมาเที่ยวที่ดูจะผิดที่ผิดเวลาเอามากๆ วันนี้เราต้องมาตามข่าวของ พายุไต้ฝุ่นยักษ์ ที่จะเข้าโจมตีโตเกียวแบบชั่วโมงต่อชั่วโมงเลยทีเดียว
ญี่ปุ่นกำลังจะมีพายุใหญ่ ก่อนหน้าที่เรามาไม่นาน โดนไปแล้วหนึ่งลูก และตามที่ข่าวนำเสนอ ลูกที่กำลังจะเข้าใหญ่โตกว่าเดิมเป็นเท่าตัว ไอ้เราก็ไม่เคยเจออะไรแบบนี้ ทีแรกก็ไม่ได้รู้สึกกลัว หรือกังวลอะไรนะ แต่พอทราย น้องสาวเราที่มาจาก usa บอกว่า มันน่ากังวลมากกกก ที่โน่น (หมายถึงอเมริกา) ยังไม่เคยเจอลูกใหญ่ขนาดนี้เลย!! โห จะโหดขนาดไหนเนี่ย จินตนาการตามลำบากมากสำหรับคนมาจากประเทศไทยอย่างเรา .. … วันนี้เราพากันไปเที่ยวที่สวนสนุก Disneysea ช่วงเช้าๆ น้องฟินส์ดูไม่ค่อยจะสดใสเท่าไหร่ น่าจะเพลียมาหลายวัน แล้วต้องมาเดินขึ้นลงรถไฟหลายขบวนอีก คงเหนื่อยน่าดู ส่วนน้องเพนนีนั้นสายตรอง ดูยังตื่นเต้นและสนุกสนานเกินเบอร์อยู่เหมือนเดิม 🙂
Disneyland ก็ยังเป็นอะไรที่น่าตื่นตา ตื่นใจอยู่เสมอๆ นะ สำหรับเรา แค่ได้เข้ามาเดินในนี้เราก็รู้สึกดี หัวใจมันพองโต เหมือนได้กลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง .. โคตรดี ชอบมาก..
ช่วงบ่ายๆ เราแยกออกมากันก่อน พร้อมแหม่มแฟนเรา และแม่ เพราะแหม่มมีอาการเจ็บนิ้วเท้าที่เกิดจากเล็บขบจนอักเสบ พากันไปตามหารองเท้าแตะใส่ ซึ่งน่าจะดีกว่าใส่ผ้าใบแน่นอน ต้องบอกว่ารองเท้าแตะที่นี่ไม่ได้หากันง่ายๆ หลังจากพากันเดินหาอยู่นาน เราก็มาได้รองเท้าแตะที่ใส่แล้วเบาสบายตามโจทย์ที่คิดไว้ที่ Muji แถวๆ โรงแรมที่พัก..
วันนี้เป็นวันที่เหนื่อยมากกว่าสนุกสำหรับเรานะ แต่เอาจริงๆ ชีวิตมันก็แบบนี้แหละ มีเรื่องเข้ามาให้แก้ไข ให้ตัดสินใจอยู่เสมอๆ ไม่ว่าเราจะต้องการหรือไม่ ไม่ว่าเราจะเที่ยวอยู่หรือป่าว.. เฮ้ออ
พฤหัสที่ 10 ตุลาคม 2019
ดูเหมือนจะไม่ธรรมดาซะแล้ว สำหรับพายุไต้ฝุ่นที่กำลังจะเข้าโตเกียวสุดสัปดาห์นี้ ถึงขนาดที่ข่าวต่างประเทศจับตากันว่า ไต้ฝุ่น ฮากิบิส ลูกนี้ อาจจะใหญ่ที่สุดในประวัตติศาสตร์ของมวลมนุษย์ชาติ!! ..
โอ้ยยย.. จะมาใหญ่โตเอาอะไรกันตอนนี้!!!
เช้าวันนี้เลยเป็นวันที่เราต้องไล่เคลียร์ปัญหาอะไรหลายสิ่งอย่างเลย ชั่งใจอยู่นานว่าจะเอายังไงกับโปรแกรมที่วางเอาไว้ก่อนมาดี เดิมวันที่ 12 เราจะเช่ารถสองคัน ขับตามกันไปพักที่ทะเลสาปคาวากูชิโกะ นอน 1 คืน จากนั้นไปนอนที่ฮาโกเน่ อีก 1 คืน แต่วันนี้เราควรห่วงความปลอดภัยและชีวิตก่อน เพราะพายุไม่ธรรมดา ทีนี้เราคงต้อง ทำเรื่องยกเลิกการรถเช่าและที่พักทั้งสองที่ที่พูดไปก่อนหน้านี้ และคงต้องรอดูความเคลื่อนไหวอีกทีว่าพายุจะสร้างความเสียหายขนาดไหน
เราลองถามโรงแรมเดิม APA ชินจูกุที่เราพักกันอยู่ ถึงการจองวันพักเพิ่มจากเดิมในวันที่ 12-13 2 คืน ช่วงเวลาที่เราต้องหลบพายุ เราตกใจกับราคาที่ได้มากๆ ไม่ใช่ว่าถูกมากนะ แต่มันแพงมากเลย คืนละ 12,000 บาทต่อห้อง โหดสัสมาก โดยมีเหตุผลประกอบว่าเป็นวันหยุดยาว 3 วันทำให้ราคาโรงแรมช่วงเวลานี้สูง (คืนปกติที่เราจองกันมาตกคืนละ 4,000 เอง) ราคานี้คงสู้ไม่ไหว เราพักกันอยู่ 4 ห้อง หายนะแน่ๆ
เราหลีกเลี่ยงความหายนะทางการเงิน ด้วยการหาที่พักใหม่ใน airbnb และเราก็หาได้ไม่ยากนักในราคา 24,000 บาท 2 คืน 10 คน ซึ่งเป็นบ้านทั้งหลัง อีกทั้งมันยังไม่ไกลจากที่พักเดิม .. ปัญหาที่ตามมาคือเราจะเข้าที่พักก่อนเวลาปกติที่กำหนดไว้ว่า 4 โมงเย็นได้ไหม เพราะเราต้องออกจากที่พักเดิมเช้าวันที่ 12 ซึ่งเป็นวันดีเดย์ที่พายุจะเข้าถล่มโตเกียว และการรอคอยคอนเฟริมจากเจ้าของบ้าน ที่ไม่ยอมอ่านข้อความเราสักที ซึ่งนั่นก็เป็นความทุกข์อย่างหนึ่งที่เราต้องเจอในตอนนี้เหมือนกัน..
…
วันนี้เราลืมเอาเงินติดตัวไปด้วย กินข้าวเสร็จ เราเลยแยกออกมาที่โรงแรมเพื่อกลับมาเอาเงินที่ลืมเอาไว้ ถึงห้องที่พัก หายังไงก็หาไม่เจอ และจำไม่ได้ด้วยว่าเอาวางไว้ที่ไหน ห้องโรงแรมขนาด 3×3 เมตร เห็นจะได้ แค่หมุนตัวก็เจอผนังอีกด้านแล้ว แต่หายังไงก็หาไม่เจอ จนคิดว่าต้องลองดูในถุงขยะแล้วมั้ง เราลงมือคุ้ยถังขยะในห้อง ในใจไม่คิดหรอกว่าเราจะบ้าทิ้งเงินหลายหมื่นเยนลงถังได้จริงๆ คนเรามันจะเบลอได้ขนาดนั้นเลยเหรอ ยังไม่ทันสิ้นเสียงความคิด คำตอบก็กองอยู่ตรงหน้าเรียบร้อย.. ความเบลอมีอยู่จริง แบงค์หมี่นเยนราวๆ 10 ใบ แน่นิ่งอยู่ในถังขยะใบนั้นเอง .. พระเจ้าช่วย..
…
วันนี้แยกกันไปเที่ยว คณะเด็กน้อยไปเก็บ Disneyland ส่วนเรา แหม่ม และแม่ จากที่ plan เอาไว้ว่าจะไปเที่ยว Yokohama กัน ก็เลยยกเลิกไปก่อน ไปเดินเล่นใกล้ๆ ที่พักพอดีที่พักที่เราจองเอาไว้ที่ใหม่ ที่เจ้าของห้องยังไม่ยอมติดต่อกลับนั่นแหละ อยู่แถวๆ ย่าน Korean Town ที่เรามาเดินเล่นพอดี เราเลยเดินไปดูกัน และพบว่าน่าอยู่ดีทีเดียว และรายรอบด้วยร้านค้าของกินมากมายประหนึ่งอยู่ในละแวกเมียงดง เกาหลีใต้ ยังไงยังงั้นเลย
ศุกร์ที่ 11 ตุลาคม 2019
ทริปนี้เรียกได้ว่าเป็นการเดินทางที่ “ขึด” เอามากๆ (ขึด คือคำพื้นเมืองเชียงใหม่ ความหมายประมาณว่า แสลง) เริ่มต้นตั้งแต่การจองที่พักที่โดน Airbnb รายหนึ่งเท อย่างไม่มีเยื่อใย ก่อนจะเดินทางไม่ถึง 10 วัน ทั้งๆ ที่เราจองมาตั้งแต่ 3 เดือนก่อน เดือดร้อนหาที่พักใหม่ และการที่ไปกัน 10 คน การจะหาที่พักสำหรับ 10 คน อาจจะไม่ยาก บ้านหลังใหญ่ๆ มีให้เห็นเยอะเยอะ แต่ถ้าจะหาที่มีห้องน้ำเกิน 2 ห้องขึ้นไป หาไม่ง่ายนะบอกเลย
ต่อมาในวันเดินทาง เราก็โดน delay ไปกว่า 4 ชั่วโมง และเป็นช่วงเวลาที่จะนอนก็ไม่ได้ จะไปเดินเล่นก็ไม่มีที่ให้ไป และที่กำลังเจออยู่ตอนนี้ ก็พายุใหญ่ ฮากิบิส ใหญ่ยักษ์แห่งมวลมนุษยชาตินี่แหละ และต่อไปจะมีอะไรให้เดือดร้อนอีกไหมเนี่ย..
และแล้ว..
เช้าวันนี้ก็เป็นอีกวันที่มีความพังพินาศมากกกก… เริ่มต้นวันด้วยการโดน Cancel ที่พักใหม่ ที่เราเดินไปดูเมื่อวานในย่าน Korean Town ที่พวกเราตั้งใจจะไปอยู่เพื่อหลบพายุกัน ทำให้เราต้องรีบหาที่พักใหม่กันอย่างลนลานกระชั้นชิด!
เมื่อเวลามันคับขัน เราก็เลือกมากไม่ได้ เราพยายามหาที่พักใกล้ๆ โรงแรมเดิมที่เราอยู่ เพราะสัมภาระพวกเราเยอะกันมากๆ การเคลื่อนที่โดยมีกระเป๋าเดินทางใบยักษ์หลายใบ และมีทั้งคนแก่และเด็กเล็ก อยู่ในทีมไม่ใช่เรื่องง่าย
ยังโชคดี.. เราใช้เวลากันไม่นานก็ได้ที่พักใหม่ ครั้งนี้เราตัดสินใจพักที่ใหม่ 3 คืนไปเลย โดยเราจะออกจากโรงแรมกันคืนนี้ นั่นหมายความว่า เราจะต้องเสียคืนนี้ที่โรงแรมเดิมไป ก็ไม่เป็นไร เพราะถ้าต้องขนของย้ายกันช่วงเช้าวันเสาร์พรุ่งนี้ อาจจะเสี่ยงกับพายุเกินไป การตัดสินใจแบบนี้น่าจะดีที่สุดแล้ว
…
หลังจากแก้ไขปัญหาได้แล้ว พวกเราก็ออกเที่ยวกันต่อ ก็เหมือนกับคนอื่นๆ ที่นี่ เค้าก็ยังใช้ชีวิตกันปกติ เอาจริงๆ นะ คนที่นี่ใช้ชีวิตกันปกติมากๆ โลกใน Social เรื่องพายุฮากิบิส ดูน่ากลัวกว่าโลกจริงๆ ตอนนี้เยอะเลย
วันนี้เรามาเที่ยวกันที่ odaiba เพื่อที่จะมาชมแสงสีของ Teamlab ซึ่งเราได้ซื้อตั๋วกันก่อนมาแล้ว และก็ไม่ผิดหวัง เจ๋งมากๆ แต่คงเพราะอารมณ์ของเรามันโดนเรื่องที่พัก เรื่องพายุป่วนมาพอสมควร ความสนุกเลยไม่ค่อยจะมีสักเท่าไหร่
เรากลับมาเช็คเอ้าท์โรงแรมเดิมประมาณหกโมงเย็น มีฝนตกปอยๆ พวกเราเก็บของและพากันลงมาเพื่อที่จะเดินทางไปพักที่ใหม่ ซึ่งจาก google maps แสดงให้เห็นว่าอยู่ห่างจากจุดที่เราอยู่เพียง 1.5 กิโลเมตร เราตัดสินใจว่าจะเรียก Taxi เพราะอย่างที่บอก ข้าวของพวกเราเยอะมาก
การเรียก Taxi ช่วงเวลานี้ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เวลาเลิกงาน และมีฝนตกแบบนี้ ทีแรกพวกเราเกือบจะถอดใจ ยอมแพ้ และพากันบ้าหอบฟางลุยฝนเดินไปที่พักใหม่ แต่พวกเราก็ยังพอมีโชคอยู่บ้าง เมื่อน้องเขยจาก usa เปิดดู uber app ในมือถือ และสามารถเรียกรถตู้มารับพวกเราไปส่งที่พักจนได้ เย้!
…
ที่พักใหม่ เป็น apartment ทั้งหลัง ไม่ใช่สิน่าจะเรียกว่าตึกแถว 3 ชั้น และเปิดให้เราเช่าผ่าน airbnb ชั้น 2 และ 3 โดยชั้นล่างสุดเค้าเปิดเป็นร้านกาชาปองและซักอบรีด หรือร้านซักอบรีดหยอดเหรียญนั่นแหละ ที่นี่ถ้าไม่นับว่ามีครัวที่ใหญ่สามารถทำอาหารได้แล้วหละก้อ บอกได้เลยว่าไม่มีอะไรดีกว่าโรงแรม APA ที่เราเพิ่งพักมาเลย..
สำหรับเรา เราก็ว่ามันก็มีเรื่องดีอยู่เหมือนกันนะ อย่างน้อยๆ เราก็ได้ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันกับครอบครัวอย่างใกล้ชิด เราเจอปัญหา แก้ไข และผ่านมันไปได้ด้วยกัน เป็นความทรงจำที่ดี ในช่วงเวลาที่แย่หน่อยๆ ซึ่งสิ่งเหล่านี้อาจจะเป็นภาพที่น่าจดจำมากกว่า ภาพที่พวกเราไปยืนถ่ายกับภูเขาไฟฟูจิก็เป็นได้นะ.. (พยายามคิดในแง่ดี) หลังจากที่เราจัดการเก็บของเข้าที่พักกันเรียบร้อยแล้ว พวกเราก็พากันเดินไปหาซื้ออาหารแห้ง ผัก หมู ไก่ เนื้อ เท่าที่ละแวกนั้นจะหาได้ ซึ่งก็มีมินิมาร์ท และซุปเปอร์มาร์เกตให้เราได้สะสมเสบียงอยู่พอสมควร เผื่อว่าพายุรุนแรงเกินที่กว่าที่เราคิด เราจะได้มีเสบียงเพียงพอ การเหลือย่อมดีกว่าขาดในสถานะการณ์แบบนี้ ..
เสาร์ที่ 12 ตุลาคม 19
วันพายุยักษ์เข้าถล่มโตเกียวมาถึงแล้ว!!
พวกเราทั้ง 10 คน พร้อมเสบียงอาหารที่น่าจะอยู่ได้สัก 3 วัน โดยไม่ต้องซื้อเพิ่ม ในใจตอนนี้รู้สึกกลัวอยู่ประมาณนึง แต่ด้วยความที่มีครอบครัวอยู่กันพร้อมหน้า เลยดูจะเป็นความสุข สนุกได้อยู่บ้างเหมือนกัน การได้ทำกิจกรรมร่วมกันอยู่ในบ้านพักเล็กๆ หลังนี้ เป็นอะไรที่น่าจดจำมากๆ นั่งๆ นอนๆ พูดคุยกันหลายเรื่อง ทำกับข้าวง่ายๆ กินร่วมกัน ถ้าไม่มีพายุเข้ามา เราก็ยังคิดไม่ออกเหมือนกันว่าโมเมนต์หลบภัยทั้งครอบครัวแบบนี้จะมีหน้าตาเป็นยังไง
ขยายความนิดนึง ถึงพวกเราทั้ง 10 คนจะเป็นครอบครัวเดียวกัน แต่เราต่างก็แยกย้ายออกมามีบ้านของตัวเองหลายปีแล้ว โดยเฉพาะน้องสาวคนกลางที่ไปอยู่อเมริกาเกินกว่า 10 ปีได้ ถ้าย้อนไปคิดถึงการได้อยู่ร่วมกัน ในบ้านหลังเดียวกัน พร้อมแม่ เรา และน้องสาวทั้ง 2 คน ก็คงต้องย้อนกันไปไกลเลย ดังนั้นการได้ร่วมกันหลบภัยที่นี่ 2-3 วัน สำหรับเราเป็นโอกาสที่ดี และน่าจดจำมากๆ เรื่องหนึ่งในชีวิตเลยทีเดียว
…
พายุฮากิบิสเข้าถึงโตเกียวในช่วงเวลาประมาณ 2-5 ทุ่ม จอมขวัญลูกสาวเราตื่นเต้นมาก อยากเห็นจักรยานลอยไปมาด้วยแรงลม ซึ่งแน่นอนมันไม่ได้เกิดขึ้น อย่างน้อยๆ ก็แถวๆ ที่เราพัก .. ซึ่งก็นับว่าเป็นเรื่องที่ดีแล้ว ถึงโตเกียวจะไม่ได้รับความเสียหายมากมาย แต่ในบางจังหวัดก็มีความเสียหาย สาหัสเอาการอยู่
พวกเรารู้สึกขอบคุณ อะไรก็ตามที่ทำให้พวกเราทั้ง 10 คนปลอดภัย และผ่านเรื่องภัยพิบัติธรรมชาติครั้งนี้มาได้
อาทิตย์ที่ 13 ตุลาคม 19
ฟ้าหลังฝนสดใสเสมอ.. หลังพายุใหญ่ก็เช่นกัน
เช้าวันนี้อากาศดีสุดๆ ท้องฟ้าสีฟ้าครามสดใส อุณหภูมิค่อนไปทางร้อนเลยก็ว่าได้ แต่จะให้ใส่แขนสั้นออกมาลุยเที่ยว เราก็ยังไม่อาจไว้ใจอากาศต่างบ้านต่างเมืองแบบนี้ได้
แต่ว่าวันนี้เราก็ใส่แขนสั้นออกมาเที่ยวนะ..
พวกเราพากันมาเที่ยววัดเซนโซจิและเดินเล่นกันต่อที่ Tokyo Skytree เที่ยวกันไปเรื่อยๆ ต่อจากนั้นก็ค่อยมาดูกันอีกทีว่าเวลาเหลืออยู่เท่าไหร่ เราจะไปไหนได้อีก แผนที่วางไว้มันผิดไปหมดแล้วไง ก็เลยเที่ยวตามเวลาจะอำนวยกันเนี่ยแหละ
อากาศร้อนจนเริ่มจะเที่ยวไม่สนุก แต่เราก็พยายามรักษาความรู้สึกให้ออกมาดีให้ได้ เหนื่อย เบื่อ มันเป็นอะไรที่ไม่ควรพกเอามาเที่ยวด้วยเลยสักนิด
เราอาจจะรู้สึกเบื่ออยู่เล็กน้อย ส่วนใหญ่ไม่ใช่มาจากการแก้ไขปัญหารายวันเรื่องของพายุเข้าหรอกนะ แต่ก็โอเคว่ามันก็มีส่วนอยู่บ้างเล็กน้อย เรื่องหลักๆ น่าจะเป็นการถ่ายรูปที่เราตั้งใจมามากกว่า เรียกว่าแทบไม่มีสมาธิในการโฟกัสเรื่องการถ่ายภาพเลย ครั้นพอจะหาเวลาเดินถ่ายรูปได้ ก็ดูเหมือนว่าตาบอดมองไม่เห็น ไม่เห็น Subject หรือ Scene อะไรดีๆ เลย ก็เป็นเรื่องที่ทำเอานอยด์อยู่เหมือนกัน
…
พายุใหญ่ผ่านไปแล้วก็จริง แต่การแก้ปัญหาต่างๆที่ตามมายังไม่จบแค่นั้น วันนี้เราต้องติดต่อขอเปลี่ยนเวลารถไฟ shinkansen ที่จะเดินทางจากโตเกียวไปโอซาก้า จากเดิมที่เราต้องไปขึ้นรถไฟที่สถานี Odawara ช่วงเย็นๆ หลังจากที่ขับรถเที่ยวฮาโกเน่กันแล้วเสร็จ แต่พายุทำให้เราเดินทางไม่ได้ เราเลยต้องเปลี่ยนเวลาและเส้นทางใหม่
ขากลับจาก Tokyo Skytree เรามาเดินเล่นกันต่อที่ตลาด Ameyoko จากนั้นเราและแหม่มจะมาทำเรื่องเปลี่ยนตั๋วที่สถานี Ueno ซึ่งก็อยู่ใกล้ๆกับตลาด Ameyoko นี่เอง คิวยาวมาก น่าจะใช้เวลาต่อคิวประมาณ 30 นาทีได้ เป็น 30 นาทีเพื่อที่จะทราบว่านี่มันคนละหน่วยงานกัน เราต้องมาทำเรื่องที่สถานี Tokyo Station อืม.. โอเค.. ไม่เป็นไร
เราแยกจากกลุ่มน้องๆ ที่กำลังชอปแชมม์กันอย่างสนุก และเดินทางนั่งรถไฟมาที่สถานีโตเกียว โชคดีมากที่นี่ไม่มีคิวเลย ทีแรกพนักงานในเค้าเตอร์บอกให้เราไปเปลี่ยนเวลาเองในเว็บ ดูออกแนวขี้เกียจทำให้หน่อยๆ (อันนี้เราคิดเองนะ) แต่เราน่าจะพอมีโชคอยู่บ้าง สิ่งศักสิทธิ์หรืออะไรสักอย่างเลยส่งให้หัวหน้า หรือใครสักคนที่ดูมีตำแหน่งเดินเข้ามาดูพอดี เราไม่รู้เหมือนกันว่าเค้าคุยอะไรกัน แต่พนักงานทั้งสองคนก็รีบทำเรื่องเปลี่ยนเวลาให้เราอย่างรวดเร็ว พร้อมกับท่าทีที่ดูเป็นมิตรไปอีก 200 เท่า และแล้วเราก็ได้เวลาใหม่ในการเดินทางเป็นบ่ายสองโมงวันพรุ่งนี้ ก็แก้ปัญหากันไปได้อีกเรื่องหนึ่ง เย้!!
ก่อนกลับที่พักเรามาหามื้อเย็นกินกันแถวๆ Korean town ซึ่งร้านนี้เราเคยมากินครั้งนึงแล้ว แต่วันนี้คนค่อนข้างเยอะและเราต้องต่อคิว ในช่วงที่ต่อคิวรอกินข้าวเย็น เราปล่อยแม่กับแหม่มแฟนเรารอคิวไปก่อน เราอยากจะไปสอบถามเรื่องการฝากกระเป๋าส่งไปโอซาก้า เพื่อที่วันพรุ่งนี้เราจะได้เดินกันตัวปลิว ไปขึ้นรถไฟสบายๆ เพราะการแบกกระเป๋าใบใหญ่หลายๆใบ และมีทั้งเด็กเล็กและผู้สูงอายุดูจะเป็นอะไรที่เหนื่อยเอาเรื่องอยู่เหมือนกัน
เราวิ่งจากร้านอาหารไปสำนักงานบริษัท KURONEKO YAMATO ที่บริการรับส่งของ คนไทยส่วนใหญ่จะคุ้นเคยในชื่อ แมวดำ เราเห็นว่าแถวนี้มีสาขาอยู่ด้วยใกล้ๆ ที่พักห่างไปประมาณ 1 กิโลเมตร
พนักงานที่สาขานี้คุยและช่วยเหลือเราดีมาก มาตราฐานญี่ปุ่นโดยแท้ เราใช้วิธีการสื่อสารกันแบบมนุษย์ยุคใหม่สุดๆ นั่นคือการใช้ google translate แปลกันไปมา แน่นอนว่าใช้เวลาอยู่พอสมควร แต่ก็ได้ข้อสรุปที่ดี
ตามปกติแล้ว กระเป๋าจะใช้เวลาเพียงคืนเดียวในการเดินทางจากโตเกียวไปโอซาก้า แต่หลังจากพายุใหญ่เพิ่งผ่านไปสดๆ ร้อนๆ แบบนี้ ทางแมวดำไม่กล้ารับปากว่าจะถึงเมื่อไหร่ ซึ่งเราคิดเอาเองว่าคงจะไม่น่าเกิน 3 วัน และพรุ่งนี้เช้าเราจะลากกระเป๋ากันมาฝากที่สาขานี้ และเดินกันชิลๆ ไปนั่งชินคังเซ็น!!
หมดไปอีกหนึ่งวัน อันแสนเหน็ดเหนื่อยย …
จันทร์ที่ 14 ตุลาคม 2019
วันนี้เป็นวันที่เราจะเดินทางไปโอซาก้ากัน พวกเราจัดการแบ่งเสื้อผ้าเอาไว้เปลี่ยนสำหรับ 2-3 วันในช่วงที่กระเป๋าใบใหญ่เดินทางไปส่งที่พักในโอซาก้า ทำให้ทุกครอบครัวมีกระเป๋างอกเพิ่มขึ้น แต่อีกเดี๋ยวเราก็จะสบายแล้ว เพราะกระเป๋าใบใหญ่จะถูกส่งต่อให้กับแมวดำส่งของ อย่างที่เราได้ไปดีลมาเมื่อคืน
ฝนตกปอยๆ แบบถี่ๆ อากาศค่อนไปทางเย็นถึงหนาว ช่างเป็นช่วงเวลาที่ดีสำหรับการลากกระเป๋าและเดินทางไปตามถนนเหลือเกิน.. พวกเราตากฝนกันอยู่พักนึงก็เดินมาถึงสำนักงานแมวดำ สาขาที่เรามาคุยเอาไว้เมื่อคืนนี้
หลังจากลากกระเป๋าเข้าไปข้างในแล้ว พวกเราก็ได้พบกับความผิดหวังอีกครั้ง!
เช้านี้เราเจอเจ้าหน้าที่คนใหม่ ซึ่งไม่ใช่คนเมื่อวาน คนนี้เค้าฟันธงให้เราเลยว่าของทั้งหมดจะถึงโอซาก้าในวันศุกร์ที่ 17!!! ซึ่งนั่นไม่ใช่วันที่พวกเรายอมรับได้! และแน่นอนว่านี่ก็มาจากผลกระทบของพายุฮากิบิสเช่นกัน
สุดท้ายแล้ว พวกเราก็ต้องถ่อสังขารลากกระเป๋ากันมาขึ้นรถไฟชินคังเซ็นจนได้.. ก็ลำบากกันทีเดียวแหละ แต่ก็ผ่านกันมาได้.. อาจจะเป็นโชคดีอยู่บ้างตรงที่วันนี้เป็นวันหยุดของทางญี่ปุ่น ทำให้ช่วงเวลาที่เราขนกระเป๋าขึ้นรถไฟเพื่อที่จะต่อไปขึ้นชินคังเซนนั้น คนไม่ได้เยอะมากเท่าไหร่
เรามาถึงโอซาก้ากันประมาณ 5 โมงเย็น และก็พากันเข้าที่พักได้สำเร็จ ลุล่วง เรียบร้อย เหมือนไปรบมาเลย เหมือนยกภูเขาลูกใหญ่ออกจากอกไปได้ ที่นี่คงไม่มีอะไรให้ต้องได้ช๊อคอีกแล้วมั้ง.. เพราะไม่กี่วันเราก็จะกลับบ้านกันแล้ว
อังคารที่ 15 ตุลาคม 2019
เช้านี้เราตื่นมาวิ่งตอนเช้าด้วย หลังจากที่ไม่ได้วิ่งเลยสักวันเป็นเวลา 8 วันเต็มๆ คือวางแผนเอาไว้ก่อนมาแล้วว่าอยากจะวิ่งจอกกิ้งยามเช้าไปที่ปราสาทโอซาก้าสักหน่อย และอยากถ่ายคลิปเก็บเอาไว้ด้วย
ที่พักของเรากับปราสาทโอซาก้าอยู่ไม่ไกลจากกันเท่าไหร่ วิ่งไปและกลับระยะทางก็อยู่ราวๆ 7-8 กิโลเมตร
บอกเลยว่าการวิ่งในสถานที่ใหม่ๆ เป็นอะไรที่สนุกมาก ตื่นเต้นตลอดทางและไม่มีเสียงของเจ้ากรรมนายเวรเข้าหูเลยตลอดการวิ่ง (เจ้ากรรมนายเวรมักจะเข้ามาในรูปของเสียงที่บอกว่า อย่าวิ่งเลยมันน่าเบื่อ วิ่งไปก็เหนื่อยไปนอนต่อดีไหม อะไรแบบนี้)
อากาศเย็นๆ กำลังดี วิ่งไปดูชีวิตคนญี่ปุ่นยามเช้าไปด้วย ดูบ้านเรือน ดูความเป็นอยู่ มีอยู่ช่วงนึงเรากำลังวิ่งอยู่ดีๆ รู้สึกเหมือนคนมาวิ่งไล่ เราก็ตกใจรีบวิ่งให้ไวขึ้นอีก พอเร่งก็เหมือนมีคนเร่งฝีเท้าตาม อย่างตกใจ แต่ว่าคุณพี่รายนี้เค้าไม่ได้วิ่งตามเรานะ เค้ารีบไปไหนของเค้านั่นแหละ ตื่นเต้นดีเหมือนกัน
วันนี้เริ่มทริปโอซาก้าใกล้ๆ ที่พักเลย เดินมากันไม่นานก็ถึง ที่นี่คือตลาดคุโรมองที่อุดมไปด้วยอาหารทะเล อย่างเช่นหอยสดๆ ปูเผา ขาปูยักษ์ และซูชิหน้าทะเลต่างๆ มีให้พวกเราได้เดินไปชิมไปกันอย่างอร่อยและสนุกสนาน แม่ชอบกินขาปูยักษ์ ส่วนเราก็ได้กินซูชิสมใจซะที เพราะตั้งแต่มาเหยียบแผ่นดินญี่ปุ่นคราวนี้ยังไม่ได้มีซูชิตกถึงท้องเลยซักชิ้น หอยนางลมตัวเบ้งเลยอร่อยมาก กินคนละตัวพอ … มันแพง ฮ่า
จากนั้นมาต่อกันที่ปราสาทโอซาก้ากัน ที่เดียวกับที่เราวิ่งมาเมื่อเช้านี้แหละ ที่นี่เรียกว่าเป็นแลนด์มาร์คที่สำคัญของโอซาก้า ไม่มาถือว่ามาไม่ถึง
ช่วงบ่ายเราพากันไปที่พิพิธภัณท์สัตว์น้ำ Kaiyukan เอาใจเด็กๆ กันหน่อย
วันนี้เรามีอาการปวดหัว น้ำมูกเยอะ ดูท่าจะเป็นไข้หวัดซะแล้ว อากาศที่โอซาก้าเย็นกว่าโตเกียวมาก ช่วงเย็นนี่เรียกว่าหนาวได้เลยเหมือนกันนะ
พุธที่ 16 ตุลาคม 2019
ไข้หวัดถามหาเรียบร้อย..
เช้านี้ตื่นแทบไม่ไหว ตัวร้อน เจ็บคอ คัดจมูก ครบสูตรเลยเรียกว่าเป็นไข้หวัดค่อนข้างหนัก วันนี้ชาวคณะเลยต้องเปลี่ยนโปรแกรมการเที่ยว จากเดิมเราจะไปเกียวโตใส่ชุดกิโมโนกัน มีอันต้องเลื่อนไปเป็นวันศุกร์และวันนี้ก็จะหนักไปทางเดินชอปปิ้งกันตามย่านละลายทรัพย์ต่างๆ ส่วนเรานั้น กินยาและนอนเป็นผักไปก่อน
พฤหัสที่ 17 ตุลาคม 2019
เช้านี้อาการไข้หวัดเราดีขึ้นมาก น่าจะผลของการนอนพักผ่อนอย่างเยอะเมื่อวาน ถึงจะยังไม่ได้รู้สึกว่าปกติเต็มร้อย แต่เราก็ตัดสินใจตื่นก่อนชาวบ้านแล้วออกมาเดินถ่ายรูปก่อนเลย ส่วนตัวเราชอบถ่ายรูปแนว Street photography เวลาได้มาสถานที่แปลกใหม่ก็อยากจะเดินถ่ายรูปให้ได้เยอะที่สุด เท่าที่โอกาสจะอำนวย การถ่ายรูปเช้านี้ดูจะมีความสนุกอยู่บ้าง ถึงจะไม่ได้มีรูปดีๆ เด็ดๆ ก็เถอะ แค่ได้ทำแล้วรู้สึกว่าสนุกแค่นี้ก็กำไรชีวิตแล้ว
สำหรับวันนี้สมาชิกส่วนใหญ่จะไปเที่ยวสวนสนุก Universal Studio กัน และเหลือเรา แม่ และแฟนเรา ก็จะพากันไปเดินเล่นแถวๆ ละแวกที่พักนี่แหละ
วันศุกร์ที่ 18 ตุลาคม 2019
วันสุดท้ายของทริปเที่ยวญี่ปุ่นกับครอบครัวแล้ว พรุ่งนี้จะเป็นวันเดินทางกลับเมืองไทยกัน
วันนี้เราพากันมาที่เกียวโต จะมาใส่ชุดกิโมโนเดินถ่ายรูปกันสวยๆ แต่ๆๆๆๆๆ วันนี้ฝนตกครับผม บ้าจริง.. ฟ้ามืดไร้แสงแดด แต่ด้วยความที่ไม่เหลือวันให้ได้เลื่อนแล้ว เกียวโตวันฟ้าหม่นก็คงไม่เลวนักหรอกมั้ง
พวกเรามาถึงเกียวโตกันประมาณ 11.30 แวะเติมพลังกันที่ร้าน lawson ใกล้ๆ กับร้านกิโมโนที่เรานัดหมายเวลาเอาไว้ตอนช่วง 12.00 ธุรกิจกิโมโนถือว่าได้รับความนิยมมากในเมืองเกียวโต มีแทบจะทุกจุด ทุกหัวมุมถนนเลย ครั้งนี้เราใช้บริการของร้าน Yumeyakaka สาขาไกโล เดินทางสะดวกดี และร้านก็มี staff เป็นคนไทย พูดไทยด้วย
พอแต่งชุดกิโมโนกันเรียบร้อยครบแล้ว ยกเว้นเราคนนึงนะ เราเป็นคนถ่ายรูป ของเยอะ แต่งลำบากก็เลยเลือกจะไม่แต่ง ก็พากันขึ้นรถ Taxi มาลงกันที่วัดน้ำใส เดินกันได้ไม่นานเท่าไหร่ฝนก็ตกลงมาเบาๆ คนเยอะมาก เรียกว่ามหาศาลดีกว่า เดินกันลำบากและแน่นอนว่าถ่ายรูปก็ลำบาก ไหนจะคน ไหนจะฝน โอ้ยย! เยอะ! เราก็พยายามตามถ่ายรูปทุกคนให้ได้มากที่สุดและดีที่สุดเท่าที่เราจะสามารถ เพราะโอกาสแบบนี้คงจะมีไม่บ่อยนัก
การหลบฝนเข้าไปหาอะไรกินที่ร้านอาหารแถวๆ สถานที่ท่องเที่ยวอาจจะไม่ใช่ความคิดที่ดีเท่าไหร่นัก อย่างที่พวกเราเจอกันมาแถวๆ วัดน้ำใสนี่แหละ ฝนมันเริ่มหนักขึ้นระหว่างทางที่เรากำลังจะกลับ พวกเราเลยเลือกที่จะนั่งกินข้าวกันเป็นการหลบฝนไปด้วย และเรียกได้ว่าเป็นการหลบฝนที่มีราคาทีเดียว เพราะร้านนี้อาหารค่อนข้างแพงแต่รสชาดสามัญชน ไม่ได้มีความพิเศษอะไรเลย
วันนี้ที่เกียวโต พวกเราเที่ยวได้ไม่ค่อยจะคุ้มเวลาเท่าไหร่ เที่ยววัดน้ำใสเสร็จ เราก็เลือกที่จะเดินทางกลับโอซาก้าเลย และมาเดินเที่ยวชิลๆ หาของฝากติดไม้ติดมือแถวๆ นัมบะ กันต่อสักหน่อย
เสาร์ที่ 19 ตุลาคม 2019
สองอาทิตย์ที่ใช้ไปกับการเที่ยวญี่ปุ่น พร้อมหน้าพร้อมตากันครบทั้งครอบครัวผ่านไปอย่างรวดเร็ว ถึงวันที่ต้องแยกย้ายกันกลับไปทำหน้าที่ของชีวิตต่อแล้ว.. เราแยกกันกับครอบครัวน้องสาวที่มาจากอเมริการะหว่างทางที่ลากกระเป๋าไปขึ้นรถที่สถานีรถไฟ เพราะต้องไปขึ้นเครื่องกันคนละที่
ช่วงเวลาที่ได้อยู่ได้เที่ยวด้วยกันถึงจะเป็นแค่ช่วงเวลาสั้นๆ แต่ก็ทำให้มีความทรงจำที่มีความสุขมากๆ ไม่รู้ว่าโอกาสแบบนี้จะมีมาอีกเมื่อไหร่
เครื่องบินเราออกจากโอซาก้าเวลาบ่ายสามโมงตามเวลาญี่ปุ่น ถึงกรุงเทพจากนั้นต่อเครื่องกลับเชียงใหม่ ถึงเชียงใหม่ 4 ทุ่มกว่าๆ เรียกว่าเดินทางกันทั้งวันเลยทีเดียว
การเดินทางจากญี่ปุ่นมาเมืองไทยใช้เวลา 6 ชั่วโมงด้วยเครื่องบินลำเล็กแบบที่นั่ง 3×3 แถว เราไม่รู้เรียกว่าเครื่องอะไร แต่ปกติจะได้นั่งเครื่องที่ใหญ่กว่านี้ ทีแรกคิดกันว่าเครื่องเล็กแบบนี้คงจะนั่งนานๆ ลำบากแน่ๆ แต่เอาเข้าจริงๆ มันก็ไม่ได้แตกต่างกันเลย ก็นั่งกลับกันมาได้แบบสบายๆ ตามแบบฉบับสายการบินโลว์คอร์ส ..
การไปเที่ยวครั้งนี้เราได้เรียนรู้อย่างหนึ่งว่า ปัญหาต่างๆ ที่เราเจอในชีวิตหลายๆ ครั้งมันก็เหมือนกับที่เรามาเที่ยวแล้วเจอพายุฮากิบิสนี่แหละ มันไม่ได้แย่อย่างที่เราจินตนาการเอาไว้ บางทีพอผ่านมันไปได้เราก็อาจจะไม่เรียกมันว่า ปัญหาเลยด้วยซ้ำ และบางอุปสรรคปัญหาที่เราเจอ มันก็เป็นโอกาสที่จะพาเราไปเจอสิ่งใหม่ๆ ได้เหมือนกัน เพราะงั้นใช้ชีวิตอย่างมีสติ อยู่กับปัจจุบัน มองให้เห็นสิ่งที่เจอให้รอบด้าน และที่สำคัญมีสติแล้วอย่าลืมมีตังค์ด้วยนะ อันนี้สำคัญมาก 😄