สวัสดีครับ วันนี้ผมมีแนวคิดเรื่องการทำ youtube ให้มีความสุขมาฝากคุณผู้ชมครับ
หลังจากที่ปีที่แล้วผมได้เริ่มทำช่อง Tommy Talk และก็ได้หยุดทำไปดื้อๆ ในช่วงกลางปี ไม่มีข้ออ้างใดๆ หละครับ ไม่โทษ covid หรืออะไรทั้งนั้น ต้องโทษตัวผมเองแต่เพียงผู้เดียวจริงๆ
ผมเชื่อว่าหลายๆ คนที่ยังไม่ประสบความสำเร็จกับการทำ youtube จะมีปัญหาหลักๆ เหมือนๆ กัน นั่นคือขาดความสม่ำเสมอ ซึ่งผมก็เป็นหนึ่งในนั้นครับ และสาเหตุที่เราทำไม่ได้อย่างสม่ำเสมอก็คือ การขาดแรงบันดาลใจ ขาดแรงจูงใจ ความคาดหวังที่สูงเกินไป ทำให้เราหมดใจที่จะไปต่อ และทำให้เราล้มเลิกไป วันนี้ผมกลับมาทำ youtube อีกแล้วครับ ยังอยากจะเป็น youtuber อยู่นะครับ และผมได้แนวความคิดใหม่ ที่ผมเชื่อว่ามันเหมาะมากๆ ที่จะเอามาใช้เริ่มต้นทำ youtube ให้ได้ดีๆ และมีความสุขไปกับการทำงานตรงนี้ด้วย ผมเชื่อว่าถ้ามีความสุข โอกาสที่เราจะทำได้อย่างสม่ำเสมอก็มีสูงเช่นกันนะครับ
กรอบความคิดที่ผมอยากจะชวนคุยวันนี้มี 3 ข้อด้วยกัน หลักๆ ก็จะเป็นแนวคิดที่ผมใช้ในการแก้ไข ปรับปรุง เพื่อที่ผมจะได้ทำ youtube ได้อย่างสม่ำเสมอ และมีความสุขไปนานๆ นอกจากเรื่องการเป็น youtuber แล้ว แนวคิดทั้ง 3 ข้อนี้ยังเอาไปใช้ในการลงมือทำอะไรก็ตามที่เราต้องการได้ด้วยเช่นกันครับ
แนวคิดที่พูดคุยกันในวันนี้ผมไม่ได้คิดขึ้นมาเองนะครับ เป็นแนวคิดที่ได้จากการอ่านหนังสือ ฟัง podcast และผมได้เอามาปรับใช้ให้เข้ากับการทำ youtube ของผมในปีนี้ เรามาดูกันเลยครับ
- กระบวนการสำคัญกว่าผลลัพท์ ให้ความสำคัญกับกระบวนการมากกว่าผลลัพท์
ก่อนหน้านี้ ผมจะชอบบอกกับตัวเองหน้ากระจกบ่อยๆ ครับ ว่าผมคือ youtuber แสนซัพ ผู้ทำรายได้จากทั้ง adsense และงานสปอนเซอร์มากมาย ก็เป็นวิธีการที่เรียกว่า Self-Talk ครับ การที่เราเชื่อให้ได้ว่าเราจะเป็นใคร เป็นคนที่สำเร็จแบบไหนเป็นวิธีการที่จะพาเราลงมือทำได้ และจะส่งผลให้เราสำเร็จได้ กูรูหลายๆ คนเค้าบอกไว้แบบนั้น และแน่นอนครับว่าทุกวันนี้ผลลัพท์ที่ผมตั้งใจเหล่านั้นมันก็ยังไม่เกิดขึ้น ไม่ได้บอกว่าวิธีนี้เป็นอะไรที่ไม่ดีนะครับ ส่วนตัวผมเห็นว่าวิธีนี้มันทำให้ผมเอง จดจ่อ คาดหวังกับผลลัพท์มากเกินไป และทำให้ผมลงมือทำแบบเครียดๆ เพราะยังรู้สึกว่าห่างไกลกับสิ่งที่ผมบอกตัวเองหน้ากระจก
การที่เราอยากจะได้ผลลัพท์หรือความสำเร็จเหมือนคนอื่นๆ ไม่ใช่เรื่องแปลกครับ เราอยากเป็น youtuber ที่มีผู้ติดตามเป็นหมื่น เป็นแสน มียอดวิวเป็นแสนเป็นล้าน การที่จะเป็นแบบนั้นได้ มันก็ขึ้นอยู่ที่สิ่งที่เราต้องทำในแต่ละวัน ครับ
เราอยากได้ผลลัพท์เพราะมันทำให้เรารู้สึกดี มีความสุข แต่สิ่งเหล่านี้ต้องแลกมาด้วยความเจ็บปวดบางอย่าง เราอยากเป็น youtuber ชื่อดัง อย่างที่ตั้งใจ แล้วเราพร้อมที่จะเจอความยากลำบากอะไรบ้าง เพราะความสำเร็จมาพร้อมกับความยากลำบาก ความสุขมาพร้อมกับปัญหา สิ่งเหล่านี้อยู่ในกระบวนการที่เราต้องทำในทุกๆ วัน
เราต้องคิดคอนเทนต์ ถ่ายคลิปวีดีโอ ตัดต่อ ทำเรื่องพื้นฐานหลังบ้านที่จะทำให้มีคนมาเจอคลิปเรา เช่นการหา keyword การใส่ hashtag อะไรพวกนี้ เยอะแยะมากมาย ถ้ากระบวนการพวกนี้ไม่ใช่สิ่งที่ตรงกับนิสัย หรือความชอบที่คุณมีเลย แบบนี้โอกาสสำเร็จในแบบที่เราอยากได้มันก็คงจะยากหน่อยนะครับ การทำอะไรที่ต้องฝืนทำมันทุกๆ วัน เป็นความทุกข์อย่างหนึ่ง
หลายๆ ครั้ง เราลงมือทำอะไรไม่สำเร็จ หรือไม่ได้เริ่มลงมือทำสักที อาจจะมาจากการที่เรา ชอบหรืออยากได้แค่ผลลัพท์สุดท้าย แต่ไม่ได้ชอบกระบวนการที่ทำก็เป็นไปได้นะครับ
ส่วนตัวผมเองค่อนข้างมั่นใจครับว่า กระบวนการทำงานทางนี้เป็นสิ่งที่ผมชอบ การคิดคอนเทนต์ การได้ใช้งานกล้องถ่ายวีดีโอ การตัดต่อ เป็นเหมือนงานอดิเรกที่ผมอยากเรียนรู้ และลงมือทำ
ทีนี้ ถ้ากระบวนการเป็นสิ่งที่คุณชอบ หรือคุณคิดว่าคุณเลือกที่จะลงมือทำ ก็ขอให้คุณอย่าเพิ่งไปยึดติดกับผลลัพท์ให้มากเกินไปนะครับ เพราะมันทำให้เราไปจดจ่ออยู่กับสิ่งที่เรายังไม่มี สิ่งที่เรายังไม่ได้เป็น หรือสิ่งที่เราขาดนั่นเอง การคิดถึงแต่สิ่งที่เราขาดเป็นการตอกย้ำอย่างหนึ่งว่าเรายังไม่สำเร็จ และนี่ก็ทำเป็นเหตุให้เกิดความทุกข์ได้เหมือนกัน
เราสามารถเริ่มต้นได้ด้วยการมีความสุขครับ แค่เราเปลี่ยนความคิดนิดหน่อย จากที่คิดว่าทำแล้วต้องได้อะไรกลับมาอย่าง ยอดวิว ยอดซัพ ซึ่งสิ่งเหล่านี้เราควบคุมไม่ได้ และเราไม่ควรเอามาเป็นตัวชี้วัดหลักๆ ในชีวิตการทำ youtube ของเราด้วยครับ ให้เราเปลี่ยนตัวชี้วัดความสำเร็จมาที่การลงมือทำแทนที่จะเป็นยอดวิว ยอดซัพนะครับ แค่ได้ลงมือทำตามแผนงานแต่ละวันให้เสร็จ นั่นคือความสำเร็จที่ได้แล้ว ยอดวิว ยอดซัพที่ได้ตามมา ก็เป็นเพียงผลพลอยได้ ได้เยอะก็ดี ได้น้อยก็ไม่เป็นไป เรียนรู้ ปรับปรุง และลงมือทำให้ดีขึ้นไปเรื่อยๆ ครับ
เรื่องนี้เป็นคำแนะนำที่ผมได้จากหนังสือคุณ mark manson เค้าบอกไว้ดีมากนะครับๆ ว่า
“ความล้มเหลวไม่สำคัญอีกต่อไป ถ้าเราตั้งมาตราฐานความสำเร็จไว้ที่การลงมือทำ”
การถ่ายทำ การตัดต่อ การอัพคลิปวีดีโอที่เราทำ ไม่ว่าจะวันละตอน หรืออาทิตย์ละตอน อย่างสม่ำเสมอนี่คือความสำเร็จของคุณทันที เป็นผลลัพท์ที่ขึ้นอยู่กับตัวเราเอง เราต่อสู้กับตัวเอง เราควบคุมความสำเร็จนี้ได้เอง แบบนี้มีความสุขกว่าการคาดหวังผลลัพท์ว่าทำแล้วต้องมีคนมาดูเยอะๆ ยอดวิวต้องดี หรืออะไรก็ตามที่ต้องขึ้นอยู่กับใครหรือสิ่งที่เราควบคุมไม่ได้
- คิดแบบคนธรรมดา ลงมือทำอย่างมือสมัครเล่น
การที่เราทำคอนเทนขึ้นไปบน youtube การที่มียอดวิวน้อย หรือไม่มีคนดูมีโอกาสเกิดขึ้นได้ครับเรื่องปกติ การที่เราคิดว่าเราทำขนาดนี้ ต้องมีคนดูเท่านั้นเท่านี้ การคิดแบบนี้เป็นการทำลายความมุ่งมั่นที่เรามีนะครับ เราควรต้องคิดแบบนี้ครับว่า เราเป็นคนธรรมดา เราไม่ได้เป็นคนพิเศษ ที่ทำอะไรแล้วจะต้องมีคนมาตามดู ตาม like หรือชื่นชอบครับ
การคิดแบบคนธรรมดา เริ่มต้นทำอย่างมือสมัครเล่น ทำให้เราสามารถจะเริ่มทำคอนเทนต์แบบไหนก็ได้ ลงมือทำได้เลย ไม่ต้องกลัวใครว่า การเป็นคนพิเศษเนี่ย การจะทำอะไรต้องระวังตัว มีกรอบ การเป็นมืออาชีพต้องคิดเยอะเพราะมีมาตราฐานที่คนดู หรือลูกค้าคาดหวัง ไม่มีอะไรจะไปดีกว่าช่วงเวลาของการเป็นคนธรรมดา หรือมือสมัครเล่นอีกแล้วครับ
ข้อดีของการเป็นมือสมัครเล่นมีเยอะเลยครับ
* เราสามารถเรียนรู้ไปพร้อมๆ กับการลงมือทำ คุณอาจจะกำลังสนใจเรื่องของการตัดต่อวีดีโออยู่ และกำลังเริ่มที่จะเรียนรู้ เราไม่จำเป็นต้องไปเรียนให้เก่งแล้วถึงจะมาทำ youtube หรือทำ content ให้คนอื่นได้ดูนะครับ คุณสามารถเอาสิ่งที่ได้เรียนรู้วันนี้สักเรื่องหนึ่ง มาทำคอนเทนต์บอกเล่าให้ใครสักคนที่สนใจดูได้เลย คล้ายๆ กับไปเจอวิธีนี้มา เอามาลองทำแล้วดี เลยมาบอกต่อ อะไรแบบนี้ นี่คือการที่คุณได้คอนเทนต์ด้วย และเรียนรู้ไปด้วย
* คุณสามารถมีความสุขในการทำงานทุกวัน นั่นก็เพราะคุณเป็นคนธรรมดานะครับ คุณไม่ต้องสนใจว่าใครจะคิดยังไงกับสิ่งที่คุณทำให้มากมาย คุณไม่คาดหวัง คุณแค่รู้ว่าอยากทำอะไร และลงมือทำมันอย่างสม่ำเสมอ
ความสำเร็จของมืออาชีพมาจากผลงานที่ดี เพราะมีความคาดหวังจากคนดู หรือลูกค้า
ส่วนความสำเร็จของมือสมัครเล่นมาจากความสม่ำเสมอครับ ในวันนึงที่คุณมีคนยอมรับ คุณเริ่มกลายเป็นคนพิเศษ นั่นหมายความว่าคุณเก่งขึ้นอีกระดับแล้วครับ ถึงเวลานั้นสิ่งต่างๆ ที่เข้ามาจะบอกคุณเองว่าคุณต้องทำอะไรต่อไป ยังไม่ต้องใจร้อนไปครับ
- ใช้หลักการลงมือทำอะไรสักอย่าง สำหรับการเริ่มต้น และในวันที่แรงบันดาลใจเราหมด
เราอาจจะเคยได้เจอได้ฟังมาว่า การที่คนเราจะเลือกลงมือทำอะไรสักอย่าง ต้องมีแรงบันดาลใจก่อน แรงบันดาลใจจะเป็นแรงจูงใจให้เกิดการลงมือทำ และเราจะได้ยินต่อว่า เมื่อแรงบันดาลใจหมด การลงมือทำก็จะหยุดชะงัก หลายคนเชื่อว่าเรื่องราวของแรงบันดาลใจ กับการลงมือทำเป็นสัจธรรมของชีวิตที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ อืมม ก็อาจจะใช่นะครับ เมื่อเราไม่มีแรงจูงใจ การลงมือทำก็เป็นเรื่องยากลำบากจริงๆ
การลงมือทำอะไรสักอย่าง ลงมือทำ -> แรงบันดาลใจ -> แรงจูงใจ
แต่คุณ Mark Manson เค้าก็บอกว่า
“การลงมือทำไม่ได้เป็นผลจากแรงจูงใจเพียงอย่างเดียว แต่เป็นสาหตุของแรงจูงใจด้วยเช่นกัน”
คือถ้าเรากำลังติดปัญหาอะไรสักอย่าง หรือคิดอะไรไม่ออก คิดไม่ตก ไร้แรงบันดาลใจ อย่านั่งนึกถึงมันเฉยๆ อย่ามัวแต่จับจดอยู่กับความคิดให้เริ่มลงมือทำอะไรสักอย่าง อะไรก็ได้ ถึงเรื่องนั้นเราจะไม่รู้ว่าทำอะไรอยู่ก็ตาม แค่ลงมือทำอะไรสักอย่าง จะทำให้เราได้คำตอบ หรือเกิดแรงจูงใจในการที่จะไปต่อได้อย่างแน่นอน
ตัวอย่างนะครับ คุณอาจจะมีเรื่องที่อยากทำเป็นคอนเทนต์ youtube มากๆ คุณนึกภาพตัวเองทำคลิปตัวนี้ออกมาอย่างมีความสุข แน่นนอนว่าคุณกำลังมีแรงบันดาลใจเต็มเปี่ยม แต่คุณดันไปอ่านเจอ หรือมีใครสักคนมาบอกว่าเรื่องนี้ไม่มีคนอยากดูหรอก หรือมันไม่มีทางทำเงินได้ และมันทำให้คุณเกิดความสงสัยและสับสน และทำให้เราไม่ได้ลงมือทำสักที ถ้าคุณอยู่ในอาการไปไม่เป็นแบบนี้ ก็ขอให้คุณลงมือทำคอนเทนต์ที่อยากทำเลยครับ เอาสัก 5 ตอน 10 ตอนไปเลย แล้วเดี๋ยวสิ่งที่คุณทำมันจะพาคุณไปในที่ทางที่ใช่เองครับ คือคุณอาจจะพบว่ามีคนสนใจดูมากกว่าที่คิดเอาไว้ มีใครสักคนมาคอมเมนต์ถามในสิ่งที่คุณทำ และทำให้คุณได้ไอเดียใหม่ๆ หรือในขณะที่คุณลงมือทำนั้นคุณพบว่าจริงๆแล้วคุณชอบเรื่องการตัดต่อมาก คุณก็อาจจะมาทำคลิปสิ่งที่คุณได้เรียนรู้เกี่ยวกับการตัดต่อก็ได้
การลงมือทำมันจะพาคุณไปเจอสิ่งที่คุณไม่มีวันได้เจอถ้าคุณยังนั่งคิดจับจดอยู่ที่เดิมครับ
คุณอยากถูกหวย สิ่งที่คุณต้องทำคือไปซื้อหวย คุณไม่มีทางนั่งรอเฉยๆ ได้ ทุกอย่างคือการที่เราต้องไปลงมือทำอะไรซักอย่าง ถึงจะมีโอกาสได้มาซึ่งอะไรซักอย่าง
ทั้งหมดนี้เป็นกรอบความคิดที่ผมเอามาใช้ในการที่จะเป็น youtuber ที่มีความสุข สำหรับการกลับมาทำ youtube ในปีนี้ของผมนะครับ
สำหรับใครที่ฟังมาถึงตรงนี้ ผมอยากจะแนะนำหนังสือ 2 เล่มนะครับ ที่เป็นที่มาของแนวความคิดที่ผมเอามาใช้กับการทำ youtube ให้มีความสุขอย่างที่ได้เล่าให้ฟังไป เล่มแรกเป็นหนังสือของคุณ mark mansion มีชื่อไทยว่า “ชีวิตติดปีก ด้วยศิลปะแห่งการช่างแม่ง” และอีกเล่มของคุณ Austin Kleon ที่ชื่อว่า “มีของดีต้องให้คนอื่นขโมย” หรือหลายๆ คนจะรู้จักชื่อหนังสือในภาษาอังกฤษว่า “Show your work!” บอกได้คำเดียวครับว่า สองเล่มนี้คุ้มค่าที่ได้อ่านจริงๆ แนะนำเลยครับ